กรุณารอสักครู่

 

HomeCategoryกฏหมายแรงงาน Archives - Page 39 of 75 - บริษัท ลีกัล คลินิก แอนด์ เอดดูเคชั่น จำกัด

ทำผิดวินัยร้ายแรง นายจ้างไล่ออกได้ โดยไม่ต้องเตือน

ทำผิดวินัยร้ายแรง นายจ้างไล่ออกได้โดยไม่ต้องเตือน เราคาดว่าเรื่องมีหลายๆคนก็คงทราบว่าถ้าลูกจ้างทำผิดวินัยร้ายแรง นายจ้างสามารถเลิกจ้างได้แต่ประเด็นคำว่า “ร้ายแรง” ของแต่ละคนแต่ละตำแหน่งก็แตกต่างกันไป แล้วแบบไหนล่ะถึงจะเรียกว่าร้ายแรง มาดูกัน 1. การจะถือว่ากรณีใดเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานเป็นกรณีร้ายแรงหรือไม่ ไม่ใช่จะพิจารณาว่า ข้อบังคับการทำงานกำหนดว่าเป็นความผิดร้ายแรงแล้วต้องถือว่าเป็นความผิดเสมอไป จะต้องพิจารณาถึง พฤติการณ์การกระทำของลูกจ้าง ทีเกิดขึ้นเป็นสำคัญ ซึ่งจะต้องดูเป็นกรณีๆ ไป รวมถึงผลเสียหายที่เกิดขึ้นมีมากน้อยเพียงใด (อ้างอิงคำพิพากษาฎีกาที่ 2388/2526, 1701-1708/2528, 1348/255) 2. แต่หากข้อบังคับการทำงาน ระบุว่าการกระทำใดเป็นการทำผิดไม่ร้ายแรง แม้ว่าตามสภาพอาจถือว่าผิดร้ายแรง ต้องถือว่าทำผิดไม่ร้ายแรงตามทีนายจ้างกำหนด เพราะเป็นการกำหนดข้อบังคับที่เป็นคุณกับลูกจ้างยิ่งกว่า (อ้างอิงคำพิพากษาฎีกาที่ 6791/2544) 3.หากลูกจ้างกระทำผิดกรณีร้ายแรง นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างได้ในการกระทำครั้งแรกของลูกจ้างโดยไม่ต้องเตือนเป็นหนังสือ และไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย (พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541มาตรา 119(4)) 4. แต่หากเป็นกรณีไม่ร้ายแรง นายจ้างจะต้องเตือนลูกจ้างเป็นหนังสือก่อน ถ้าลูกจ้างได้กระทำผิดในเรื่องเดียวกันนั้นซ้ำอีกภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ลูกจ้างกระทำความผิดครั้งแรก นายจ้างจึงจะเลิกจ้างลูกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย (พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานพ.ศ.2541 มาตรา 119(4))

สัญญาจ้างมีกำหนดเวลา แต่เมื่อครบกำหนดลูกจ้างแจ้งไม่ต่อสัญญาจ้าง ไม่ถือเป็นการเลิกจ้าง ไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชย

สัญญาจ้างมีกำหนดเวลา แต่เมื่อครบกำหนดลูกจ้างแจ้งไม่ต่อสัญญาจ้าง ไม่ถือเป็นการเลิกจ้าง ไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชย ในกรณีนี้ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า สัญญาจ้างนี้มีกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดแน่นอน แต่มีข้อความที่ให้นายจ้างมีสิทธิบอกเลิกสัญญาก่อนครบกำหนดได้ สัญญาจ้างจึงกลายเป็นระยะเวลาการจ้างไม่แน่นอน ไม่เป็นการจ้างที่มีกำหนดเวลาแน่นอนตามมาตรา 118 วรรคสามและวรรคสี่ เมื่อนายจ้างเลิกจ้างลูกจ้าง จึงต้องจ่ายค่าชดเชยแก่ให้ลูกจ้าง แต่ต่อมาเมื่อครบกำหนดสัญญา ลูกจ้างได้แจ้งว่าลูกจ้างไม่ประสงค์จะต่อสัญญาจ้างอีก ถือเป็นการลาออก ไม่ใช่เป็นการเลิกจ้าง ลูกจ้างจึงไม่ได้รับค่าชดเชย ตามคำพิพากษาศาลอุทธณ์คดีชำนัญพิเศษที่ 7076/2562 ตัดสินว่า สัญญาจ้างระหว่างโจทก์ (ลูกจ้าง) กับ จำเลย (นายจ้าง) กำหนดระยะเวลาจ้างและระยะเวลาสิ้นสุดการจ้างที่แน่นอน โดยเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน 2559 ถึง 30 พฤศจิกายน 2560 แต่เมื่อสัญญาจ้างข้อที่ 5 ระบุว่า จำเลยมีสิทธิบอกเลิกสัญญาก่อนครบกำหนดได้ ระยะเวลาการจ้างจึงไม่แน่นอน ถือไม่ได้ว่าเป็นสัญญาจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาจ้างแน่นอน จำเลยไม่อาจบอกเลิกจ้างสัญญาจ้างได้ เว้นแต่โจทก์กระทำผิดเงื่อนไขเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานหรือกฎหมายแรงงานที่เกี่ยวข้องเท่านั้น

ข้อตกลงระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง ตามสัญญาจ้างระบุไว้ว่า “หากลูกจ้างตั้งครรภ์ ให้ถือว่าลูกจ้างบอกเลิกสัญญาจ้าง” ข้อตกลงดังกล่าวสามารถใช้ได้จริงหรือไม่ ?

ข้อตกลงระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง ตามสัญญาจ้างระบุไว้ว่า “หากลูกจ้างตั้งครรภ์ ให้ถือว่าลูกจ้างบอกเลิกสัญญาจ้าง” ข้อตกลงดังกล่าวสามารถใช้ได้จริงหรือไม่ ? คำพิพากษาฎีกาที่ 1394/2549 วางหลักไว้ว่า ข้อตกลงระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง ตามสัญญาจ้างพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินที่กำหนดว่า ภายในระยะเวลา 2 ปี นับแต่วันที่เริ่มสัญญาหากลูกจ้างตั้งครรภ์ให้ถือว่าลูกจ้างได้บอกเลิกสัญญาจ้าง โดยในสัญญาได้ระบุว่า “ คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายเข้าใจและยอมรับว่าการปฏิบัติงานในตำแหน่งพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินมีลักษณะเป็นการเฉพาะ ทั้งเกี่ยวกับภาษาที่ใช้ มีบุคลิกภาพที่ดีและสุขภาพสมบูรณ์ สามารถปฏิบัติงานบนเครื่องขณะทำการบินได้ตามหลักเกณฑ์ที่นายจ้างกำหนด และไม่ถูกจำกัดทางเวชศาสตร์การบิน ซึ่งจะต้องได้รับการศึกษาอบรม การทดสอบและการตรวจร่างกายตามระยะเวลาที่นายจ้างกำหนด พนักงานต้อนรับบนเครื่องจึงจำเป็นต้องมีสภาพร่างกายที่พร้อมจะเข้ารับการฝึกอบรมและปฏิบัติเพื่อเพิ่มพูนความสามารถและประสบการณ์ในช่วงระยะเวลา 2 ปีแรก ของการปฏิบัติงาน การตั้งครรภ์ของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินช่วงเวลาดังกล่าวเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติงานและเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ” ทั้งสองฝ่ายจึงได้ตกลงเงื่อนไขเกี่ยวกับการตั้งครรภ์เป็นข้อหนึ่งของสัญญาจ้าง ที่กำหนดว่า เมื่อลูกจ้างได้กระทำการผิดสัญญาข้อหนึ่งข้อใด หรือฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับคำสั่งต่างๆ ที่กล่าวไว้ กรณีร้ายแรงให้สัญญาจ้างสิ้นสุดลง และข้อตกลงที่กำหนดว่า ภายในระยะเวลา 2 ปี นับแต่วันเริ่มสัญญา หากลูกจ้างตั้งครรภ์ให้ถือว่าลูกจ้างบอกเลิกสัญญานั้น มีข้อความต่อไปอีกด้วยว่า โดยให้สัญญาสิ้นสุดตั้งแต่วันที่แพทย์แผนปัจจุบันชั้นหนึ่งวินิจฉัยหรือเมื่อเห็นได้ชัดว่าลูกจ้างตั้งครรภ์ จึงเห็นได้ว่าข้อตกลงมีวัตถุประสงค์เพื่อให้มีผลเป็นการเลิกจ้างเพราะลูกจ้างมีครรภ์ อันขัดต่อพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานฯ มาตรา 43 ซึ่งเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงเป็นโมฆะตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 หากนายจ้างระบุข้อสัญญาไว้ในลักษณะดังกล่าว แก้ไขปรับปรุงสัญญาด่วนเลยค่า

ลูกจ้างลางานไปสอบคัดเลือกเป็นข้าราชการ โดยใช้สิทธิลาป่วย ลากิจ ถือว่าลูกจ้างจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหายหรือไม่ ?

ลูกจ้างลางานไปสอบคัดเลือกเป็นข้าราชการ โดยไม่ได้ทำบันทึกแจ้งขออนุญาตกับนายจ้าง และใช้สิทธิลาป่วย ลากิจเพื่อไปสอบคัดเลือก การที่ลูกจ้างอ้างเหตุผลในการลาป่วย ลากิจไม่ตรงตามธุระที่ลูกจ้างไปกระทำ ถือว่าลูกจ้างจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหายหรือไม่ ? คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8483/2559 วางหลักไว้ว่า ในกรณีที่ลูกจ้างลางานไปสอบคัดเลือกเป็นข้าราชการโดยไม่ทำบันทึกแจ้งขออนุญาตนายจ้าง และใช้สิทธิลาป่วย ลากิจไปโดยอ้างเหตุไม่ตรงกับธุระที่ลูกจ้างไปกระทำ เป็นเรื่องที่ลูกจ้างต้องการใช้สิทธิลาไปทำธุระส่วนตัวมากกว่าคิดจะทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย ประกอบกับขณะนั้นลูกจ้างไม่อาจคาดหมายว่าจะสอบคัดเลือกได้หรือไม่ เช่นนี้ ไม่อาจถือได้ว่าลูกจ้างจงใจหรือเจตนาโดยประสงค์ให้นายจ้างได้รับความเสียหาย แม้ลูกจ้างจะมีความผิดอยู่บ้างในเรื่องไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเรื่องบันทึกขออนุญาตไปสอบบรรจุข้าราชการ และแจ้งเหตุลาป่วย ลากิจไม่ตรงความจริง แต่การกระทำดังกล่าวไม่เป็นความผิดร้ายแรง นายจ้างอาจลงโทษได้แต่ยังไม่สมควรที่จะเลิกจ้าง เมื่อนายจ้างมีคำสั่งเลิกจ้างลูกจ้างด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม

เลิกจ้างด้วยวาจาก็มีผลตามกฎหมาย แต่ในการฟ้อง ลูกจ้างจะต้องมีหลักฐาน!!

เลิกจ้างด้วยวาจาก็มีผลตามกฎหมาย แต่ในการฟ้อง ลูกจ้างจะต้องมีหลักฐาน!! อย่างที่เคยบอกไปก่อนหน้านี้ว่าสัญญาจ้างแรงงานแม้ไม่มีเป็นลายลักษณ์อักษรก็ถือว่าเป็นการจ้างกันแล้วการที่ไม่มีสัญญาว่าจ้างไม่ได้ทำให้ไม่เกิด ข้อยกที่ทำให้นายจ้างกับลูกจ้าง ไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานแต่อย่างใด นายจ้างบ้านๆบางคนเข้าใจว่าเมื่อไม่ทำสัญญากฎหมายก็ไม่คุ้มครอง…ท้าทายให้ฟ้อง บอกเลย..เดี๋ยวจะเจอดี เพราะฟ้องมาเป็น 20 คดีแล้วมั้งสำหรับการว่าจ้างที่ไม่มีสัญญาจ้างไม่ว่าจะเป็นฝ่ายนายจ้างหรือลูกจ้างก็ตาม ฟ้องได้หากมีหลักฐานในการทำงานร่วมกันและหลักฐานการจ่ายค่าจ้าง เช่นเดียวกันกับการเลิกจ้างที่ลูกจ้างได้มาปรึกษาใน inbox ว่า นายจ้างได้เลิกจ้างด้วยวาจาผ่าน zoom meeting ลูกจ้างจึงไม่ไปทำงาน เพราะถูกเลิกจ้างด้วยวาจาแล้ว แต่ต่อมานายจ้างกลับออกหนังสือเลิกจ้าง โดยส่งเป็นจดหมายมาที่บ้านว่า “ลูกจ้างขาดงานต่อเนื่องกัน 3 วัน จึงเลิกจ้าง!” เมื่อลูกจ้างติดต่อสอบถามเข้าไปยังบริษัท กลับได้รับคำตอบว่าที่พูดไปในการประชุมนั้นไม่ได้มีเจตนาไล่ออก เพียงพูดว่า ” กลับมาเก็บของออกไปพี่ไม่สามารถร่วมงานกับคนแบบเธอได้อีก ออกไปหางานใหม่ ที่มันเหมาะกับเธอจะดีกว่า” เอาจริงๆพูดมาขนาดนี้ใครจะไม่คิดว่าเป็นการไล่ออกบ้าง เพียงแต่การไล่ออกทางวาจานั้นหากไม่มีหลักฐานก็สู้กันในชั้นศาลยากเพราะไม่รู้ว่าตกลงนายจ้างพูดอย่างไรหรือลูกจ้างขาดงานต่อเนื่อง 3 วันหรือไม่ เพราะอะไร โชคดีที่ในคดีนี้ลูกจ้างได้ อันบันทึกการประชุมไว้จึงมีข้อความทั้งหมดในการประชุมรวมถึงประโยชน์ดังกล่าว ทำให้มีหลักฐานในการฟ้องคดี ส่วนคดีที่มีการเลิกจ้างไม่วาจานั้นไปอ่านกันได้ที่ฎีกา 4077-4079/2561

ลดตำแหน่งแต่ให้เงินเดือนเท่าเดิม ลูกจ้างมีสิทธิ ปฏิเสธและไม่ทำงานก็ได้

ลดตำแหน่งแต่ให้เงินเดือนเท่าเดิม แบบนี้ ลูกจ้างมีสิทธิ ปฏิเสธและไม่ทำงานก็ได้ วันนี้มีคำถามจาก inbox ถามว่าเดินตนเองมี ตำแหน่งเป็น ผู้จัดการส่วนแต่ต่อมานายจ้างได้เปลี่ยนแปลงตำแหน่งเป็น เจ้าหน้าที่อาวุโสซึ่งเป็นตำแหน่งงานที่ลงแต่นายจ้างยังให้เงินเดือนเท่าเดิมอยู่จึงเกิดเป็นคำถามว่ากรณีเช่นนี้นายจ้างสามารถทำได้หรือไม่ ก่อนอื่นต้องบอกว่าการ โยกย้ายตำแหน่งในทางการจ้างเพื่อการบริหารงานนายจ้างสามารถทำได้แต่การโยกย้ายตำแหน่งนั้นก็ต้องไม่เป็นไปในเชิงกลั่นแกล้งหรือโยกย้ายไปในตำแหน่งที่ต่ำลงกว่าเดิม เช่นในฎีกานึง นายจ้างย้ายลูกจ้างในตำแหน่งเลขานุการสำนักงานใหญ่ฝ่ายจัดซื้อซึ่งทำงานธุรการในฝ่ายจัดซื้อไปดำรงตำแหน่งพนักงานทั่วไปประจำแผนกผักและผลไม้ของบริษัท ซึ่งย้ายพนักงานจากตำแหน่งเลขานุการ ที่เป็นพนักงานระดับ 4 ไปเป็นพนักงานทั่วไปประจำแผนกผักและผลไม้ ซึ่งหัวหน้าแผนกดังกล่าวเป็นพนักงานระดับ 3 จึงเป็นการย้ายที่ลดตำแหน่งของลูกจ้างลง แม้จะจ่ายค่าจ้างเท่าเดิมก็เป็นคำสั่งย้ายที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่เป็นธรรมแก่ลูกจ้าง การที่ลูกจ้างปฏิเสธไม่ยอมไปทำงานในตำแหน่งใหม่ที่ต่ำกว่าเดิมนั้น ไม่ถือเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมของนายจ้าง นายจ้างจึงไม่อาจออกหนังสือเตือนในการกระทำของโจทก์ดังกล่าวได้ การที่ลูกจ้างปฏิเสธไม่ยอมไปทำงานในตำแหน่งใหม่จึงไม่ใช่เป็นการกระทำผิดซ้ำคำเตือนตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 (4) เมื่อจำเลยเลิกจ้างจึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม หรือจะอีกฎีกานึงที่ศาลได้โปรดวินิจฉัยไว้ว่า แม้เป็นการลดตำแหน่งจากหัวหน้า รปภ เป็นรปภ ธรรมดา โดยค่าจ้างเท่าเดิมก็ถือว่าคำสั่งลดตำแหน่งที่ลูกจ้างไม่ยินยอมนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย แม้ลูกจ้างฝ่าฝืนไม่ไปทำในหน้าที่ใหม่ก็มีเหตุสมควร จะถือว่าละทิ้งหน้าที่ไม่ได้ (ฎีกาที่ 5073/2546) นอกจากเดือนเงินเดือนแล้วตำแหน่งก็สัมพันธ์สำหรับลูกจ้างหลายๆรายเพราะเป็นการแสดงถึงความก้าวหน้าในอาชีพ ดังนั้นหากองค์กรมีความจำเป็นจะต้องเปลี่ยนแปลงตำแหน่งไม่ว่าด้วยสาเหตุใดๆก็ควรเรียกลูกจ้างมาคุยและทำความเข้าใจกันให้เรียบร้อยเสียก่อน ใจเขาใจเราเนอะ

ลูกจ้างทำผิดสัญญารักษาความลับทางการค้า ที่มีข้อห้ามลูกจ้างทำงานหรือประกอบกิจการแข่งขันกับนายจ้างในเขตกรุงเทพและปริมณฑลภายใน 2 ปี นายจ้างฟ้องได้หรือไม่?

ลูกจ้างทำผิดสัญญารักษาความลับทางการค้า ที่มีข้อห้ามลูกจ้างทำงานหรือประกอบกิจการแข่งขันกับนายจ้างในเขตกรุงเทพและปริมณฑลภายใน 2 ปี นายจ้างฟ้องได้หรือไม่? คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3892/2557 นายจ้างฟ้องลูกจ้างซึ่งเป็นลูกจ้างให้รับผิดตามสัญญาที่ห้ามจำเลยเข้าทำงานหรือทำการแข่งขันกับโจทก์ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลเป็นเวลา 2 ปี นับแต่พ้นสภาพการเป็นพนักงาน ต้องจ่ายค่าเสียหายตามความเป็นจริงแต่ไม่น้อยกว่า 100,000 บาท ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน แต่นายจ้างและลูกจ้างอุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อพิจารณาประเภทธุรกิจการค้าและตำแหน่งลูกจ้างดังกล่าว นายจ้างจึงมีสิทธิตามสมควรที่จะป้องกันสงวนรักษาข้อมูลและความลับในทางการค้าเพื่อประโยชน์ทางธุรกิจและสัญญาไม่ตกเป็นโมฆะ ซึ่งการกำหนดค่าเสียหายจากการผิดสัญญาไว้ล่วงหน้าเป็นเบี้ยปรับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 379 ถ้าสูงเกินส่วนศาลย่อมมีอำนาจลดลงได้โดยคำนึงถึงทางได้เสียของนายจ้างด้วยกฎหมายตามมาตรา 383

ลูกจ้างไม่ควบคุมอารมณ์ แสดงการกระทำที่ไม่เหมาะสม นายจ้างเลิกจ้างได้!!! และไม่ถือเป็นการเลิกจ้างไม่ธรรม

ลูกจ้างไม่ควบคุมอารมณ์ แสดงการกระทำที่ไม่เหมาะสม นายจ้างเลิกจ้างได้!!! และไม่ถือเป็นการเลิกจ้างไม่ธรรม โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า ท่องไว้ แล้วใจเย็นๆ ไม่ใช่เฉพาะลูกจ้างด่านายจ้างแล้วจะถูกเลิกจ้างได้นะคะ ในบางครั้งการแสดงของลูกจ้างที่ไม่เหมาะสมก็อาจจะถูกเลิกจ้างได้เช่นกัน คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4045/2560 นายจ้างเลิกจ้างเนื่องจากลูกจ้างเป็นผู้บริหารระดับสูง แต่ไม่ควบคุมอารมณ์จนแสดงออกทางการกระทำที่ไม่เหมาะสม โดยพูดในทำนองว่าหากผิดลูกจ้างจะลงโทษตัวเอง พร้อมตบหน้าตัวเอง 2 – 3 ครั้ง และตบโต๊ะใส่ผู้อำนวยการฝ่ายบุคคล การเลิกจ้างจึงมีเหตุอันควรไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม โดยศาลฎีกาเห็นว่า การวางตัวของลูกจ้างให้เหมาะสมและเป็นที่เคารพนับถือของผู้ร่วมงานนับว่าเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้งานในความรับผิดชอบลูกจ้างดำเนินไปด้วยความเรียบร้อยและบรรลุผลตามเป้าหมาย การที่ลูกจ้างไม่สามารถควบคุมอารมณ์จนเป็นเหตุให้แสดงออกทางการกระทำที่ไม่เหมาะสมในการทำงาน ย่อมทำให้เพื่อนร่วมงานหรือผู้ใต้บังคับบัญชาอึดอัดใจ ส่งผลโดยตรงที่ทำให้การทำงานในความรับผิดชอบของลูกจ้างขาดประสิทธิภาพและทำให้การประสานงานกับหน่วยงานอื่นของนายจ้างขาดประสิทธิภาพ ย่อมทำให้การผลิตล่าช้าจนเป็นเหตุให้ธุรกิจเสียหายได้ การที่นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้าง เพราะเหตุดังกล่าวจึงเป็นการเลิกจ้างที่มีเหตุอันสมควรและเพียงพอแล้ว ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ทั้งนายจ้างก็อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจเลิกจ้างนะคะ จะต้องพิจารณาจากพฤติการณ์ ตำแหน่ง หน้าที่ของลูกจ้างร่วมด้วยนะคะ

เงินค่าบริการ (service charge) เป็นค่าจ้างหรือไม่ ?

เงินค่าบริการ (service charge) เป็นค่าจ้างหรือไม่ ? เงินค่าบริการ (Service Charge) เป็นเงินที่นายจ้างตกลงจ่ายให้แก่ลูกจ้าง หากเป็นกรณีที่นายจ้างเรียกเก็บจากผู้ที่มาใช้บริการแล้วรวบรวมเพื่อแบ่งเฉลี่ยให้แก่ลูกจ้างจำนวนเท่าๆกัน มีการประกันค่าบริการขั้นต่ำที่ลูกจ้างจะได้รับในแต่ละเดือน โดยหากแบ่งจ่ายให้กับลูกจ้างแล้วได้รับน้อยกว่าประกันขั้นต่ำที่กำหนดนายจ้างจะจ่ายส่วนที่ขาดให้ครบ เงินค่าบริการ (Service Charge) จึง ไม่ใช่เงินเฉพาะที่เรียกเก็บจากผู้มาใช้บริการเท่านั้นแต่ส่วนหนึ่งเป็นเงินที่นายจ้างเป็นผู้จ่ายโดยมีจำนวนขั้นต่ำแน่นอนและจ่ายเป็นประจำทุกเดือน ดังนั้น เงินค่าบริการ (Service Charge) จึงถือเป็นค่าจ้างตาม พรบ.คุ้มครองแรงงานฯ แต่ถ้าการจ่ายค่าบริการ (Service Charge) ดังกล่าวนายจ้างเรียกเก็บจากผู้มาใช้บริการแล้วนำมาเฉลี่ยจ่ายให้ลูกจ้างในแต่ละเดือน ลูกจ้างจะได้รับมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับจำนวนค่าใช้จ่ายของลูกค้าเป็นสำคัญโดยไม่มีการประกันเงินค่าบริการขั้นต่ำต่อเดือนให้ลูกจ้าง เป็นกรณีที่นายจ้างทำแทนลูกจ้างเพื่อความสะดวกและเพื่อให้กิจการดำเนินไปด้วยความเรียบร้อยเท่านั้น เงินค่าบริการดังกล่าวไม่ใช่ค่าจ้างที่นาวจ้างจ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานของลูกจ้าง กรณีเช่นนี้ค่าบริการ (Sercive Charege) ก่อนจึงไม่เป็นค่าจ้างตาม พรบ.คุ้มครองแรงงานฯ (ข้อหารือกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ที่ รง1504/01445 ลงวันที่ 8 สิงหาคม 2555)

กำหนดหลักการ “ลา” ของลูกจ้าง

กำหนดหลักการลาของลูกจ้าง 1. ลูกจ้างมีสิทธิลาป่วยได้ตามจริง โดยได้รับค่าจ้างตามปกติไม่เกิน 30 วันต่อปี 2. หากการลาป่วยนั้นเกินกว่า 3 วันนายจ้างมีสิทธิขอดูใบรับรองแพทย์จากลูกจ้าง หากลูกจ้างไม่สามารถแสดงใบรับรองแพทย์ได้ ลูกจ้างสามารถแจ้งเป็นกรณีไป 3. ลูกจ้างที่ตั้งครรภ์สามารถลาคลอดได้ไม่เกิน 98 วัน โดยได้รับค่าจ้างตามปกติ 45 วันและจากรับจากประกันสังคมอีก 45 วัน 4. ลูกจ้างมีสิทธิทำหมันและหยุดทำงานได้ตามคำวินิจฉัยของแพทย์ โดยได้รับค่าจ้างตามปกติ 5. ลูกจ้างสามารถลากิจ เพื่อกิจธุระอันจำเป็น โดยได้รับค่าจ้างตามปกติ 6. ลูกจ้างที่แจ้งลาเพื่อรับราชการทหาร ไม่เกินปีละ 60 วัน โดยได้รับค่าจ้างตามปกติ 7. ลูกจ้างที่แจ้งลาเพื่อฝึกอบรม สามารถทำได้ โดยการจ่ายค่าจ้างจะเป็นไปตามเงื่อนไขที่บริษัทกำหนด