กรุณารอสักครู่

 

HomeCategoryกฏหมายแรงงาน Archives - Page 2 of 75 - บริษัท ลีกัล คลินิก แอนด์ เอดดูเคชั่น จำกัด

การออกหนังสือเตือนและเลิกจ้างลูกจ้าง เนื่องจากทำงานไม่ได้เป้าหมาย ตามที่นายจ้างกำหนด หลายบริษัทออกหนังสือเตือนและเลิกจ้างลูกจ้างที่ทำงานไม่ได้ตามเป้าหมายที่นายจ้างกำหนดจึงเป็นประเด็นน่าสน ใจว่า การออกหนังสือเตือนเรื่องทำงานได้ไม่ถึงเป้าหมายที่นายจ้างกำหนดและเลิกจ้างนั้น ลูกจ้างจะได้ค่าชดเชยหรือไม่ ขออธิบายดังนี้ค่ะ การออกหนังสือเตือนที่จะมีผลตามกฎหมาย จะต้องเป็นการออกหนังสือเตือนในเรื่องที่ลูกจ้างฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือระเบียบหรือคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงานมาตรา 119 (4) ถ้าไม่เข้าเหตุดังกล่าว นายจ้างจะออกหนังสือเตือนลูกจ้างไม่ได้ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย การออกหนังสือเตือนและเลิกจ้างลูกจ้างเนื่องจากทำงานไม่ได้เป้าหมายตามที่นายจ้างกำหนด   การที่ลูกจ้างทำงานไม่ได้ตามเป้าหมายนั้น เป็นเรื่องของประสิทธิภาพในการทำงาน ไม่ใช่เรื่องการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือระเบียบหรือคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรม นายจึงจ้างออกหนังสือเตือนตาม พรบ.คุ้มครองแรงงานมาตรา119 (4) ไม่ได้ ดังนั้น หากเลิกจ้างด้วยเรื่องทำงานได้ไม่ถึงเป้าหมาย แม้จะออกหนังสือเตือนก่อนเลิกจ้าง ก็ยังคงต้องจ่ายค่าชดเชยนะคะ ***แต่การออกหนังสือเตือน เพราะทำงานได้ต่ำกว่ามาตรฐานและลูกจ้างก็ยังคงไม่ปรับปรุง พัฒนาการทำงานให้ดีขึ้น อันมีสาเหตุมาจากการกระทำผิดวินัย จนสุดท้ายนายจ้างต้องเลิกจ้าง กรณีนี้ผู้เขียนเห็นว่ามีเหตุอันสมควร นายจ้างเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย และไม่ถือว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม   🏛️ สนใจติดต่องาน ขอทราบค่าบริการ ⚖️ 💬 คดีความ 💬 ที่ปรึกษากฎหมาย 💬 ร่างข้อบังคับและสัญญาทั้ง 💬Thai/Eng 💬 งานบรรยาย/อบรม 💼 in-house training...

การออกใบเตือน ถ้าไม่ได้ออกโดยนายจ้าง จำเป็นต้องมีหนังสือมอบอำนาจหรือไม่   หนังสือเตือนนั้นต้องออกโดยนายจ้างหรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากนายจ้างให้ออกหนังสือเตือนได้ ซึ่งส่วนใหญ่จะมอบหมายไว้ในระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน เช่น หัวหน้าฝ่ายโดยตรง หรือฝ่าย HR เป็นต้น   ยกตัวอย่างกรณีที่ไม่ถือว่าเป็นหนังสือเตือน เช่น ลูกจ้างซึ่งเป็นพนักงานฝ่ายบัญชีมาทำงานงานสาย ผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อเป็นผู้ออกหนังสือเตือนให้ โดยที่ไม่ได้มีอำนาจในการออกหนังสือเตือนแต่อย่างใด หนังสือเตือนนี้ไม่มีผลทางกฎหมายถือว่าไม่เคยมีการเตือนลูกจ้างคนนั้นเลย   เว้นแต่มีการมอบอำนาจให้ออกหนังสือเตือนจากผู้มีอำนาจออกหนังสือเตือน ก็สามารถทำหน้าที่เตือนได้ และหนังสือเตือนนั้นมีผลทางกฎหมาย   🏛️ สนใจติดต่องาน ขอทราบค่าบริการ ⚖️ 💬 คดีความ 💬 ที่ปรึกษากฎหมาย 💬 ร่างข้อบังคับและสัญญาทั้ง 💬Thai/Eng 💬 งานบรรยาย/อบรม 💼 in-house training   สอบถามค่าบริการได้ทาง info@legalclinic.co.th   ช่องทางความรู้อื่นๆสามารถติดตามได้ที่ 🌐 https://legalclinic.co.th/   🌐 https://www.youtube.com/labourlawclinic   🌐 https://www.tiktok.com/@labourlawclinic   #ลูกจ้าง #hr...

ใบเตือนที่ไม่ได้ระบุว่าห้ามทำผิดซ้ำอีก ไม่ถือว่าเป็นใบเตือนที่ชอบด้วยกฎหมาย เลิกจ้างต้องจ่ายค่าชดเชย

ใบเตือนที่ไม่ได้ระบุว่าห้ามทำผิดซ้ำอีก ไม่ถือว่าเป็นใบเตือนที่ชอบด้วยกฎหมาย เลิกจ้างต้องจ่ายค่าชดเชย กรณีนี้ยังมีอยู่จริง แต่ไม่ใช่เพราะกฎหมายไม่เป็นธรรม แต่เป็นกรณีผู้ออกใบเตือนไม่ทราบองค์ประกอบของการเตือนที่จะทำให้เกิดผลต่างหาก ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของนายจ้างและตัวแทนนายจ้างทั้งหลายที่จะต้องเข้าใจให้ถูกต้อง ชัดเจน เพื่อนำมาใช้ให้ถูกต้อง และไม่เสียสิทธิในฝั่งนายจ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่เจอลูกจ้างที่ไม่น่ารักบางราย ที่พร้อมทำทุกทางที่จะได้เงินจากบริษัท ยกเว้น..ทำงาน ยกตัวอย่างให้ชัดเจนเลยดีกว่ากับ คำพิพากษาฎีกาที่ 694/2562 นายจ้างนำสืบได้ว่าลูกจ้างลาป่วยไม่สุจริต ลาและหยุดงานจำนวนมาก ละทิ้งหน้าที่ เกียจคร้านไม่ทำงาน ออกใบเตือนแจ้งลูกจ้างบอกพฤติกรรมว่าผิดอะไร บรรยายครบ แต่ไม่ได้บอกว่า “ห้ามทำอีก” ในกรณีเช่นนี้ เมื่อมีการทำซ้ำและเลิกจ้าง ศาลได้วินิจฉัยว่า แม้หนังสือเตือนตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน มาตรา 119 (4) จะไม่ได้กำหนดรูปแบบเอาไว้ แต่โดยลักษณะทั่วไปของหนังสือเตือนต้องประกอบไปด้วย 1. ข้อเท็จจริงอย่างพอเพียงที่ทำให้ลูกจ้างทราบว่าตนเองกระทำผิดระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานในข้อใด 2. ข้อความห้ามมิให้ลูกจ้างกระทำผิดในเรื่องเดียวกันอีก ดังนั้น เมื่อพิจารณาใบเตือนของบริษัทแล้วล้วนแต่มีการระบุไว้เฉพาะข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับการกระทำผิดของลูกจ้างว่า ลาและหยุดงานจำนวนมาก ละทิ้งหน้าที่ เกียจคร้านไม่ทำงาน โดยไม่ปรากฏข้อความเตือนห้ามมิให้ทำซ้ำอีก ถือว่าใบเตือนดังกล่าวเป็นเพียงหนังสือแจ้งการกระทำผิดให้โจทก์ทราบเท่านั้น ไม่เข้าลักษณะเป็นการตักเตือนเป็นหนังสือตามกฎหมาย การที่จำเลยเลิกจ้างเพราะเหตุดังกล่าวจะยกมาเป็นเหตุไม่จ่ายค่าชดเชยไม่ได้ จากตัวอย่างข้างต้น จึงยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่ากระบวนการขั้นตอนในการบริหารแรงงาน และปฏิบัติตามกฎหมายสำคัญเพียงใด และที่สำคัญความไม่รู้กฎหมายไม่เป็นข้อแก้ตัว ดังนั้น เพื่อให้รู้ชัดในกฎหมายแรงงานและการบริหารการจ้างทำได้ง่ายมากเพียงแค่กดติดตามเพจคลินิกกฎหมายแรงงานและอ่านในทุกวัน เท่านี้ก็ได้เกร็ดความรู้ไว้ใช้งานแล้ว 🏛️ สนใจติดต่องาน...

ข้อบังคับบริษัทกำหนดให้เตือนครบ 3 ครั้งจึงเลิกจ้างได้ แต่กฎหมายแรงงานกำหนดไว้แค่ 2 ครั้ง นายจ้างจึงเลิกจ้างเมื่อทำผิดซ้ำใบเตือน 2 ครั้ง ทำได้จริงหรอ?

ข้อบังคับบริษัทกำหนดให้เตือนครบ 3 ครั้งจึงเลิกจ้างได้ แต่กฎหมายแรงงานกำหนดไว้แค่ 2 ครั้ง นายจ้างจึงเลิกจ้างเมื่อทำผิดซ้ำใบเตือน 2 ครั้ง ทำได้จริงหรอ? ตามกฎหมายแรงงานไม่จำเป็นให้นายจ้างต้องออกใบเตือนครบ 3 ครั้งก็เลิกจ้างได้ เพราะกฎหมายแรงงานกำหนดไว้ว่า ถ้าลูกจ้างทำผิดระเบียบ ข้อบังคับ คำสั่งของนายจ้าง และนายจ้างได้เตือนเป็นหนังสือ แล้วภายใน 1 ปี ลูกจ้างก็ยังทำผิดซ้ำในเรื่องเดียวกันกับที่ได้เตือนมาแล้ว นายจ้างก็มีสิทธิเลิกจ้างได้เลย เพราะลูกจ้างทำผิดซ้ำ” และเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย แต่!!! ถ้าบริษัทมีระเบียบ ข้อบังคับกำหนดการทำผิดวินัยของลูกจ้างในบางเรื่อง บางกรณีไว้ว่าลูกจ้างทำผิด กี่ครั้งจึงจะออกคำเตือน และทำผิดในเรื่องที่เคยเตือนกี่ครั้งแล้วมาถึงจะเลิกจ้างเพราะทำผิดซ้ำหนังสือเตือน ตัวอย่างเช่น ภายในบริษัทระบุไว้ว่า จะตักเตือนกี่ครั้งถึงจะเลิกจ้าง เช่น จะเตือน 3 ครั้ง 4 ครั้ง หรือ 5 ครั้ง หากตักเตือนยังไม่ครบตามระบุแล้วบริษัทเลิกจ้างเสียก่อน เช่น บริษัทระบุว่าจะตักเตือน 3 ครั้ง แต่เลิกจ้างตั้งแต่การเตือนครั้งที่ 2 นายจ้างอาจต้องจ่ายค่าชดเชยเช่นกัน กรณีเช่นนี้ นายจ้างก็ต้องปฏิบัติหรือทำตามกฎระเบียบที่ตนสร้างขึ้นมาจะข้ามขั้นตอนการลงโทษโดยการเลิกจ้างทันทีไม่ได้ ตามฎีกาที่ 7786/2556...

หากสอบสวนแล้วปรากฏว่าลูกจ้างไม่มีความผิดผลเป็นอย่างไร

หากสอบสวนแล้วปรากฏว่าลูกจ้างไม่มีความผิดผลเป็นอย่างไร   พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานฯ มาตรา 117 บัญญัติว่า “เมื่อการสอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว ปรากฏว่าลูกจ้างไม่มีความผิดให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างเท่ากับค่าจ้างในวันทำงานนับแต่วันที่ลูกจ้างสั่งพักงานเป็นต้นไป โดยให้คำนวณเงินที่นายจ้างจ่ายตามมาตรา 116 เป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้างตามมาตรานี้ พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี” หมายความว่า หากผลการสอบสวนทางวินัยออกมาว่าลูกจ้างไม่มีความผิด นายจ้างต้องจ่ายค่าจ้างให้กับลูกจ้างเต็มจำนวนตามที่ที่ลูกจ้างได้รับในวันทำงาน โดยให้นำเงินที่นายจ้างจ่ายระหว่างพักงานเพื่อการสอบสวนมาคำนวณรวมด้วย กล่าวคือ ต้องจ่ายค่าจ้างส่วนที่เหลืออีก 50 % ให้กับลูกจ้างพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี   🏛️ สนใจติดต่องาน ขอทราบค่าบริการ ⚖️ 💬 คดีความ 💬 ที่ปรึกษากฎหมาย 💬 ร่างข้อบังคับและสัญญาทั้ง 💬Thai/Eng 💬 งานบรรยาย/อบรม 💼 in-house training   สอบถามค่าบริการได้ทาง info@legalclinic.co.th   ช่องทางความรู้อื่นๆสามารถติดตามได้ที่ 🌐 https://legalclinic.co.th/   🌐 https://www.youtube.com/labourlawclinic   🌐 https://www.tiktok.com/@labourlawclinic...

ระหว่างสอบสวนสามารถพักงานลูกจ้างได้หรือไม่

ระหว่างสอบสวนสามารถพักงานลูกจ้างได้หรือไม่ นายจ้างอาจพักงานลูกจ้างในระหว่างสอบสวนความผิดหากมีระเบียบให้ทำได้ โดยพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานฯ มาตรา 116 บัญญัติว่า “ในกรณีที่นายจ้างทำการสอบสวนลูกจ้างซึ่งถูกกล่าวหาว่ากระทำผิด ห้ามมิให้นายจ้างสั่งพักงานลูกจ้างในระหว่างการสอบสวนดังกล่าว เว้นแต่จะมีข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างให้อำนาจนายจ้างสั่งพักงานลูกจ้างได้ ทั้งนี้ นายจ้างจะต้องมีคำสั่งพักงานเป็นหนังสือระบุความผิดและกำหนดระยะเวลาพักงานได้ไม่เกิน 7 วัน โดยต้องแจ้งให้ลูกจ้างทราบก่อนการพักงานในระหว่างการพักงานตามวรรคหนึ่งให้นายจ้างจ่ายเงินให้แก่ลูกจ้างตามอัตราที่กำหนดไว้ในข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือตามที่นายจ้างและลูกจ้างได้ตกลงกันไว้ในข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ทั้งนี้ อัตราดังกล่าวต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของค่าจ้างในวันทำงานที่ลูกจ้างได้รับก่อนถูกสั่งพักงาน”   สรุป คือกรณีพักงานเพื่อสอบสวนหรือลงโทษทางวินัยนายจ้างสามารถทำได้ ถ้า….. 1. มี “ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือข้อตกลงสภาพการจ้างระบุให้นายจ้างมีอำนาจสั่งพักงานได้”   2. โดยจะต้องมีคำสั่งเป็นหนังสือระบุความผิดและกำหนดระยะเวลาพักงานได้ไม่เกิน 7 วัน   3. ระหว่างพักงานต้องจ่ายไม่น้อยกว่า 50% หากสอบสวนแล้วไม่ผิดก็ต้องจ่ายค่าจ้างระหว่างพักงานพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีด้วย   ***แต่อย่าลืมว่ากรณีพักงานเพื่อลงโทษ ไม่อยู่ในบังคับที่ต้องปฏิบัติตามมาตรา 116 พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ลูกจ้างไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างระหว่างถูกพักงาน***   วัตถุประสงค์ของการสอบสวนเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมนั้นชอบธรรม แต่การสอบสวนดังกล่าวก็ต้องทำให้ชอบด้วย ดังนั้นกรณีพักงานเพื่อสอบสวนหรือควรลงโทษทางวินัยนายจ้างสามารถทำได้ แต่ต้องภายในเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดด้วยนะคะ   🏛️ สนใจติดต่องาน ขอทราบค่าบริการ ⚖️...

ค่าจ้างในระหว่างสอบสวนความผิดจ่ายอย่างไร

ค่าจ้างในระหว่างสอบสวนความผิดจ่ายอย่างไร   สำหรับค่าจ้างในระหว่างพักงาน นายจ้างมีหน้าที่จ่ายเงินให้แก่ลูกจ้างตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างนับแต่วันที่พักงานเป็นต้นไป โดยจะต้องไม่น้อยกว่า 50% ของค่าจ้างปกติก่อนลูกจ้างถูกสั่งพักงาน เช่น ลูกจ้างรายวันได้รับค่าจ้างวันละ 400 บาท ถูกนายจ้างพักงานระหว่างสอบสวนความผิด แต่ระหว่างนี้นายจ้างต้องจ่ายเงินไม่น้อยกว่าวันละ 200 บาทให้แก่ลูกจ้าง   เมื่อสอบสวนข้อเท็จจริงแล้วหากปรากฎว่าลูกจ้างไม่มีความผิดตามที่กล่าวหา นายจ้างจะต้องจ่ายค่าจ้างระหว่างพักงานในส่วนที่ขาดให้แก่ลูกจ้างแล้วต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีอีกด้วย ตามตัวอย่างข้างต้น เมื่อสอบสวนเสร็จแล้ว หากลูกจ้างไม่มีความผิด นายจ้างจะต้องจ่ายค่าจ้างส่วนที่ขาดอีกวันละ 200 บาทรวม 7 วันให้แก่ลูกจ้าง พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี   มีข้อควรทราบว่า การที่นายจ้างมีคำสั่งพักงานลูกจ้างในระหว่างสอบสวนความผิด หากลูกจ้างเห็นว่าคำสั่งไม่ชอบ ก็มีสิทธิฟ้องเพิกถอนคำสั่งพักงานนั้นได้ เมื่อรับฟังพยานหลักฐานและสืบสวนเรียบร้อยแล้ว นายจ้างจะต้องสรุปให้ลูกจ้างฟังว่า ลูกจ้างกระทำผิดวินัยตามที่ถูกกล่าวหาหรือไม่ การกระทำผิดดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับข้อใดและโทษที่ลูกจ้างต้องได้รับโทษสถานใด   ในขณะเดียวกันเมื่อนายจ้างมีคำสั่งสอบสวนลงโทษทางวินัยและมีผลสรุปลงโทษลูกจ้างแล้ว หากลูกจ้างเห็นว่าผลการพิจารณาไม่ชอบ ลูกจ้างควรใช้สิทธิอุทธรณ์เพื่อให้ผู้มีอำนาจพิจารณาอุทธรณ์ (หากมี) แต่หากไม่มีขั้นตอนดังกล่าวหรือไม่เห็นพ้องด้วยก็มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลแรงงาน หรือกรมสวัสดิการคุ้มครองแรงงานในเขตพื้นที่ต่อไป (แล้วแต่กรณี)   🏛️ สนใจติดต่องาน ขอทราบค่าบริการ ⚖️ 💬 คดีความ...

การพักงานระหว่างสอบสวนความผิด

การพักงานระหว่างสอบสวนความผิด   แม้จะมีระเบียบข้อบังคับหรือข้อตกลงให้อำนาจนายจ้างสั่งพักงานลูกจ้างในระหว่างสอบสวนความผิดได้ ตามความที่พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 116 บัญญัติไว้ แต่นายจ้างย่อมต้องมีขั้นตอนการทำงานที่ถูกต้อง โดยนายจ้างจะต้องมีคำสั่งพักงานเป็นหนังสือ จะพักงานด้วยวาจาไม่ได้ ในหนังสือพักงานจะต้องระบุความผิดที่ลูกจ้างถูกกล่าวหา อีกทั้งจะกำหนดระยะเวลาพักงานได้ไม่เกิน 7 วันเท่านั้น โดยจะต้องแจ้งให้ลูกจ้างทราบก่อนล่วงหน้าด้วย   ทั้งนี้ สำหรับระยะเวลาพักงาน กฎหมายกำหนดไว้ไม่เกิน 7 วัน อาจมีปัญหาในกรณีสอบสวนความผิดที่มีข้อเท็จจริงซับซ้อนหรือมีพยานหลักฐานที่ต้องตรวจสอบจำนวนมากอาจต้องใช้เวลาสอบสวนมากกว่า 7 วัน แต่นายจ้างจะสั่งพักงานลูกจ้างเกินกว่า 7 วันไม่ได้   คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14659 – 14660/2557 เรื่อง ระเบียบของนายจ้างกำหนดให้พักงานได้จนกว่าการสอบสวนจะถึงที่สุด ขัดต่อมาตรา 116 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 สำหรับระยะเวลาที่สั่งพักงานเกินกว่า 7 วันโดยมิชอบด้วยกฎหมายนั้น นายจ้างต้องจ่ายค่าจ้างเต็มจำนวนแก่ลูกจ้างตามระเบียบของจำเลยว่าด้วยเจ้าหน้าที่สหกรณ์ พ.ศ. 2542 กำหนดให้จำเลยสามารถพักงาน ลูกจ้างได้ โดยการพักงานนั้นให้พักจนกว่าการสอบสวนพิจารณาถึงที่สุด แต่เมื่อตามพระราชบัญญัติ คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา...

แบบไหนคือความผิด ทางวินัยร้ายแรง

แบบไหนคือความผิดทางวินัยร้ายแรง     คำว่าวินัยร้ายแรงจะเกี่ยวข้องกับการเตือนและการเลิกจ้างซึ่งต้องพิจารณา ดังนี้   1. การจะถือว่ากรณีใดเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานเป็นกรณีร้ายแรงหรือไม่ ไม่ใช่จะพิจารณาว่าข้อบังคับการทำงานกำหนดว่าเป็นความผิดร้ายแรงแล้ว ต้องถือว่าเป็นความผิดเสมอไป จะต้องพิจารณาถึงพฤติการณ์การกระทำของลูกจ้างที่เกิดขึ้นเป็นสำคัญ ซึ่งจะต้องดูเป็นกรณีๆ ไป รวมถึงผลเสียหายที่เกิดขึ้นมีมากน้อยเพียงใด   2. แต่หากข้อบังคับการทำงาน ระบุว่าการกระทำใดเป็นการทำผิดไม่ร้ายแรง แม้ว่าตามสภาพอาจถือว่าผิดร้ายแรง ต้องถือว่าทำผิดไม่ร้ายแรงตามที่นายจ้างกำหนด เพราะเป็นการกำหนดข้อบังคับที่เป็นคุณกับลูกจ้างยิ่งกว่า   3. หากลูกจ้างกระทำผิดกรณีร้ายแรง นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างได้ในการกระทำครั้งแรกของลูกจ้างโดยไม่ต้องเตือนเป็นหนังสือ และไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย (พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 (4))   4. แต่หากเป็นกรณีไม่ร้ายแรง นายจ้างจะต้องเตือนลูกจ้างเป็นหนังสือก่อน ถ้าลูกจ้างได้กระทำผิดในเรื่องเดียวกันนั้นซ้ำอีกภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ลูกจ้างกระทำความผิดครั้งแรก นายจ้างจึงจะเลิกจ้างลูกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย (พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 (4))   🏛️ สนใจติดต่องาน ขอทราบค่าบริการ ⚖️ 💬 คดีความ 💬...

นายจ้างออกข้อบังคับ ห้ามไว้ผมยาว ห้ามเจาะหู ใช้บังคับได้จริงไหม

นายจ้างออกข้อบังคับ ห้ามไว้ผมยาว ห้ามเจาะหู ใช้บังคับได้จริงไหม   ข้อบังคับ ระเบียบ หรือคำสั่งของนายจ้างเกี่ยวกับการแต่งตัวของลูกจ้าง เพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยมากยิ่งขึ้น เป็นการสร้างภาพพจน์ที่ดีแก่บริษัท นายจ้างสามารถกำหนดได้   ตัวอย่างเช่น นายจ้างห้ามพนักงานชายทุกคนสวมใส่ตุ้มหูและไว้ผมยาว (ซึ่งเป็นการสร้างบุคลิกภาพไม่เหมาะสมในการเป็นพนักงานที่ดีของบริษัท) ซึ่งผู้ร้องสามารถกระทำได้ ประกาศดังกล่าวจึงใช้บังคับได้   แต่!! ขึ้นอยู่กับตำแหน่งลักษณะงานด้วย เพราะการทำงานในบางตำแหน่ง บางลักษณะงาน จะเกี่ยวกับภาพลักษณ์ ความน่าเชื่อถือของบริษัทด้วย หรือรวมถึงความปลอดภัยในบางตำแหน่งการทำงาน ดังนั้น นายจ้างจึงมีอำนาจในการกำหนดข้อบังคับในการแต่งตัวสวมใส่เครื่องแบบได้ ไม่ถือว่าเป็นการก้าวล่วงสิทธิความเป็นส่วนตัวของลูกจ้าง   🏛️ สนใจติดต่องาน ขอทราบค่าบริการ ⚖️ 💬 คดีความ 💬 ที่ปรึกษากฎหมาย 💬 ร่างข้อบังคับและสัญญาทั้ง 💬Thai/Eng 💬 งานบรรยาย/อบรม 💼 in-house training   สอบถามค่าบริการได้ทาง info@legalclinic.co.th   ช่องทางความรู้อื่นๆสามารถติดตามได้ที่ 🌐 https://legalclinic.co.th/   🌐 https://www.youtube.com/labourlawclinic...