กรุณารอสักครู่

 

HomeCategoryกฏหมายแรงงาน Archives - Page 11 of 68 - บริษัท ลีกัล คลินิก แอนด์ เอดดูเคชั่น จำกัด

จับได้ว่าลูกจ้างขโมยของ…แต่เค้าทำงานเก่งมากๆ แบบนี้ควรทำยังไงดีคะ ?

จับได้ว่าลูกจ้างขโมยของ..แต่เค้าทำงานเก่งมากๆ แบบนี้ควรทำยังไงดีคะ ?? …………. เจอคำถามนี้ใน inbox โดยมีคำขยายความต่อนิดหน่อยว่าลูกจ้างเก่งอย่างไรและไอ้ที่ขโมยไปคืออะไร แต่อย่ามาสอบถามว่าถ้าไม่อยากเลิกจ้างทำอะไรได้บ้าง . ท่านอื่นๆ คิดว่ายังไงกันบ้างคะ?? . ถ้าให้ตอบในมุมกฏหมาย พฤติกรรมการขโมยของของนายจ้างแบบนี้มันเป็นพฤติกรรมที่สามารถเลิกจ้างได้หรือตามมาตรา 119 (1) แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานฯ โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยส่วนสิทธิ์ในการดำเนินคดีอาญาข้อหาลักทรัพย์ก็ยังคงอยู่ แต่ถ้าให้ตอบในมุมความเห็น เราความดีสำคัญไม่น้อยกว่าความเก่ง เพราะคนเก่งสามารถสร้างได้ แต่คนดีนั้นมันต้องมาจากใจของเค้ายิ่งถ้าเป็นไม้แก่ดัดยากแล้วแล้วก็แถมไม่ต้องหวัง . แฟนเพจถามต่อว่ารายนี้ออกหนังสือเตือนได้หรือไม่ เพราะยังไม่อยากไล่ออก … คำตอบคือได้ แต่มันจะสร้าง บรรทัดฐานและทัศนคติต่อนายจ้างหลายหลายอย่างกับพนักงานคนอื่น เช่น ถ้าทำงานเก่งจะทำผิดแค่ไหนก็ได้ แล้วคนอื่นๆล่ะคะถ้าเจอสถานการณ์เดียวกันจะทำอย่างไรคะ ไล่ออก หรือปล่อยไว้?

เลิกจ้างช่วงทดลองงาน เพราะลูกจ้างขาดความเอาใจใส่งาน ไม่ใช่เลิกจ้างไม่เป็นธรรม !!

เลิกจ้างช่วงทดลองงาน เพราะลูกจ้างขาดความเอาใจใส่งาน ไม่ใช่เลิกจ้างไม่เป็นธรรม !! มีหลายคนถามมาว่า ถูกเลิกจ้างในช่วงทดลองงาน ไม่เกิน 119 วัน จะได้ค่าชดเชยไหม ฟ้องเลิกจ้างไม่เป็นธรรมได้รึป่าว แกกกกกก เอาแบบตอบไวๆ เลย เพราะขี้เกียจเขียน Content แต่ KPI ตัวเองบังคับ เลยขอตอบสั้นๆแบบได้ใจความ ไม่พร่ำเพ้อแบบทุกที 1. ค่าชดเชยเกิดเมื่อทำงานครบ 120 วันและถูกเลิกจ้างโดยไม่มีความผิด (ดูมาตรา 118 พรบ.คุ้มครองแรงงานฯ) 2. หากนายจ้างพิสูจน์ได้ว่า ลูกจ้างอุทิศเวลาในการปฏิบัติงานอย่างเต็มที่ ไม่ได้ปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ขาดความเอาใจใส่งาน ไม่มีความสามารถตามที่ตกลงกัน ก็เลิกจ้างได้ เป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรม ลองดูฎีกานี้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ 593/2563 นายจ้างทำสัญญาจ้าง 1 ปี และมีเงื่อนไขทดลองงาน 90 วัน ในระยะทดลองงานลูกจ้างไม่ได้อุทิศเวลาในการปฏิบัติงานอย่างเต็มที่ มิได้ปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ขาดความเอาใจใส่งาน ทั้งไม่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อเพื่อนร่วมงาน นายจ้างจึงเลิกจ้างเพราะเหตุไม่ผ่านทดลองงาน อันเป็นเรื่องปกติในการบริหารงานบุคคลที่นายจ้างย่อมมีสิทธิคัดสรรแรงงานที่มีคุณภาพที่สุด ลูกจ้างจึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าจ้างจนกว่าจะครบสัญญาจ้าง และค่าเสียหายจากนายจ้าง แต่ๆๆๆกว่าจะออกมาเป็นฎีกานี้ นายทั้งทั้งหลายต้องพิจารณาด้วยว่า...

กฎบริษัท ขาดงานวันศุกร์ หัก 2 เท่า บังคับใช้ไม่ได้ ขัดกฎหมาย!!

กฎบริษัท ขาดงานวันศุกร์ หัก 2 เท่า บังคับใช้ไม่ได้ ขัดกฎหมาย!! ใครไม่ท้อ ฉันท้อ กับกฎนี้ “ กฎบริษัท ขาดงานวันศุกร์ หัก 2 เท่า !! ” อย่างที่บอกไปหลายรอบหลายหนว่า บริษัท อย่าไปคิดว่าเขียนอะไรออกมาแล้วบังคับใช้ได้หมด เพราะที่กฎเหล่านี้ยังคงอยู่ได้ ไม่ใช่เพราะว่ากฎบริษัทเหนือกฎหมาย แต่เพราะลูกจ้างหลายคนไม่อยากมีปัญหาเพราะไม่อยากหางานใหม่ แต่เธออย่าลืมกฎหมายมีอายุความ หรืออีกข้อคือ เมื่ออับจนหนทางทางที่เหลืออาจจะเป็นทางสู้ของเค้าก็ได้นะ กับกรณี…ออกกฎบริษัทว่า ขาดงานวันศุกร์ หัก 2 เท่า บังคับใช้ไม่ได้ ขัดกฎหมายมาตรา 76 ต่อให้ลูกจ้างเซนรับกำดังกล่าว ลูกจ้างก็ยังมีสิทธิฟ้อง ยกตัวอย่าง คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14541-14551/2557 นายจ้างมีกฎระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน กำหนดว่า ขาดงานหัก 2 เท่า ย่อมไม่ชอบด้วยมาตรา 76 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 และนายจ้างได้หักค่าจ้าง 10 บาท เป็นเวลา 21 เดือน...

เกษียณอายุ แต่จ้างต่อ เลยให้ทำบันทึกข้อตกลงไม่จ่ายค่าชดเชย บันทึกนั้นเป็นโมฆะ

เกษียณอายุ แต่จ้างต่อ เลยให้ทำบันทึกข้อตกลงไม่จ่ายค่าชดเชย บันทึกนั้นเป็นโมฆะ อีกหนึ่งความเข้าใจที่ยังเป็นความเข้าใจผิดที่สร้างความเสียหายทั้งกับนายจ้างและลูกจ้างนั่นก็คือ “เมื่อเซ็นยินยอมเซ็น/บันทึกข้อตกลง/หรือเซ็นสัญญา” สามารถบังคับได้ทุกอย่างในโลก เช่นเดียวกับกรณีที่ปรึกษาเข้ามานี้ว่านายจ้างบอกว่ายังให้ทำงานต่อได้แต่ต้องทำบันทึกข้อตกลง ไม่รับเงินเกษียณอายุเสียก่อนกรณีนี้ใช้บังคับ ได้ไหมคะพี่ทนายคนสวย อันนี้น้องเขาไม่ได้พูดพูดเอง) หนูอ่านมาจากเพจพี่บอกว่าบังคับใช้ไม่ได้แต่ทางฝ่ายกฎหมายของนายจ้างบอกว่าเซ็นแล้วถือว่าเป็นไปตามนั้น พี่ฟันธงให้ แบบแม่นยำมากกว่าหมอลักษณ์เพราะว่ามีฎีกา 1352/2551 ข้อกฎหมายรองรับชัดเจนว่าในกรณีนี้ ไม่สามารถบังคับใช้ได้และเป็นโมฆะ ข้อเท็จจริงก็ไม่แทบจะต่างจากของน้องเลยคือ บันทึกข้อตกลงนี้เขียนเอาไว้ว่าให้บริษัท มีสิทธิเลิกสัญญาได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้ลูจ้างขัดต่อพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 118 ที่กำหนดให้นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างซึ่งถูกเลิกจ้างตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดไว้ เป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนการที่จำเลยทำสัญญากับโจทก์ให้ผิดแผกแตกต่างไปจากข้อที่กฎหมายกำหนดไว้และทำให้โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างได้รับความเสียหาย จึงตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 ไม่มีผลใช้บังคับ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่านักกฎหมายที่บริษัทของคุณพ่อน้อง นึกยังไงถึงแนะนำแบบนี้เพราะเสียประโยชน์ทั้งฝั่งนายจ้างและลูกจ้างถ้าพูดให้ชัดคือเมื่อแนะนำผิดๆนายจ้างก็คิดว่าตัวเองทำได้สิ่งที่นายจ้างก็ต้องเสียก็คือดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี เสียชื่อเสียงในการบริหารงาน ส่วนลูกจ้างก็ต้องลำบากลำบนมาศาลอีก การไม่รู้ไม่ผิด หลายเรื่องเราเองก็ไม่รู้เหมือนกันค่อยๆหาความรู้ไปหาด้วยการอ่านโดยการฟังหรือด้วยการถามแต่อย่างหลังนี่จะทำน้อยที่สุดเพราะว่าถ้าถามเลยก็เหมือนเอาภาระเราไปฝากคนอื่นลองหาความรู้ด้วยตัวเองก่อน เพื่อช่วยบรรเทาความสงสัยของตัวเองเป็นอันดับแรก ชอบเรื่องนี้ข้อกฎหมายบอกไปแล้วข้างบนส่วนความรู้สึก หดหู่ใจคือการที่นักกฎหมายแนะนำอะไรผิดๆแต่ก็อย่างที่บอกแหละการไม่รู้ไม่ผิด แต่ผิดที่ไม่หาความรู้แล้วมาแนะนำ อ่านเเล้วท้อ เฮ้อออ

ค่าคอมมิชชั่นที่คำนวณจากยอดขาย ถือเป็นค่าจ้าง

ค่าคอมมิชชั่นที่คำนวณจากยอดขาย ถือเป็นค่าจ้าง บางคนรู้แล้ว บางคนยังไม่รู้ ส่วนบางคนไม่แน่ใจว่าค่าคอมมิชชั่นถือเป็นค่าจ้างหรือไม่ และประเด็นนี้สำคัญตรงไหนเดี๋ยววันนี้จะมาเล่าให้ฟัง ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าหลายบริษัทแม้จะเรียกว่าค่าคอมมิชชั่นเหมือนกันแต่หลักการคำนวณแตกต่างกันบางบริษัทเรียกค่าคอมมิชชั่น แต่ไม่ได้คำนวณจากยอดขายกลับตั้งเป้าเป็นรางวัลจูงใจส่วน อีกประเภทหนึ่งเรียกว่าค่าคอมมิชชั่นเหมือนกันแต่คำนวณจากยอดขายที่ขายได้ประเภทนี้ถือว่าเป็นค่าจ้าง ดังนั้น เมื่อมีการเลิกจ้างโดยที่ลูกจ้างไม่ได้ผิด ค่าคอมมิชชั่นที่มีการคำนวณจากยอดขายที่ขายได้จะต้องนำมาคำนวณเป็นค่าจ้าง เพื่อจ่ายค่าชดเชยด้วยเช่นกัน นอกจากลูกจ้างจะได้รับเงินเดือนเป็นค่าจ้างประจำอยู่แล้ว ลูกจ้างยังมีสิทธิได้รับค่าตอบแทนการขายหรือค่าคอมมิสชั่น ซึ่งค่าคอมมิสชั่นนี้จะได้รับมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับ “จำนวนยอดขายที่สามารถขายได้” เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเห็นได้ว่า ค่าคอมมิสชั่นเป็นเงินส่วนหนึ่งที่บริษัทจ่ายให้แก่ลูกจ้างเป็นการตอบแทนในการทำงาน โดยคิดตามผลงานที่โจทก์ทำได้ ดังนั้นค่าคอมมิสชั่นจึงเป็นค่าจ้างตามความหมายของพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 5 ที่จะต้องนำไปรวมกับเงินเดือนของโจทก์อัตราสุดท้าย ส่วนจะคำนวณรวมยังไงลองไปติดตามอ่านกันได้ที่ฎีกา คำพิพากษาฎีกา 2863 /2552

สิ้นสุดสัญญาจ้าง นายจ้างไม่ต่อสัญญา สามารถเรียกค่าชดเชยได้

สิ้นสุดสัญญาจ้าง นายจ้างไม่ต่อสัญญา สามารถเรียกค่าชดเชยได้ ถามสั้นตอบสั้น ฉันจะไม่เวิ่นเว้อนะวันนี้ กับประเด็นที่ว่า “ ทำงานตามสัญญาจ้างรายปีต่อเนื่องกันมาตลอดแต่ในปีนี้ในจ้างไม่จ้างต่อ ผมมีสิทธิ์ได้ค่าชดเชยกับเขาไหมครับ??” อ่านนะ อ่านไม่หมดก็จดไว้อ่าน ขี้เกียจจดกดแชร์ไว้อ่าน 1. ลูกจ้าง มีสิทธิได้รับเงิน ดังนี้ – เงินค่าชดเชย ซึ่งการเลิกจ้างเพราะสัญญาจ้างสิ้นสุด ถือเป็นการเลิกจ้างที่นายจ้างต้องจ่ายเงินค่าชดเชย ทั้งนี้ ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ม.118 – เงินอื่นๆ ที่นายจ้างตกลงจ่าย เช่น เงินบำเหน็จ เงินทุนสะสม เงินสวัสดิการ เงินสงเคราะห์ ทั้งนี้ หลักเกณฑ์เงื่อนไขเป็นไปตามระเบียบ ที่นายจ้างกำหนด 2. ลูกจ้าง ไม่มีสิทธิได้รับเงิน ดังนี้ – เงินสินจ้างแทนการบอกกล่าวหน้า (ค่าตกใจ) ถ้าให้พูดแบบภาษาชาวบ้านก็คือไม่ต้องตกใจอะไรเพราะสัญญามันบอกว่าอยู่แล้วว่าเราจะสิ้นสุดกันเมื่อไหร่ แต่ถ้าให้พูดเป็นภาษากฎหมายก็เนื่องจากสัญญาจ้างที่มีกำหนดระยะเวลา สัญญาจ้างย่อมสิ้นสุดลงเมื่อครบกำหนดตามระยะเวลานั้น โดยนายจ้างไม่จำเป็นต้องบอกกล่าวล่วงหน้า ทั้งนี้ ตาม ม.17 เหตุผลก็เพราะคู่สัญญาทราบดีอยู่แล้วว่าสัญญาจะสิ้นสุดลงเมื่อใด จึงไม่จำเป็นต้องบอกกล่าวล่วงหน้าก่อนสัญญาจ้างจะสิ้นสุด สำหรับกรณีเลิกจ้างเมื่อสัญญาจ้างสิ้นสุดนั้น ไม่ถือเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ลูกจ้างจึงไม่สิทธิเรียกเงินค่าเสียหายจากการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม (ฎ.7350/43,...

“นายจ้างหักเงินเพื่อส่งประกันสังคม ”แต่ไม่ส่งให้จริง ลูกจ้างก็ยังมีสิทธิของประกันสังคม

นายจ้างหักเงินเพื่อส่งประกันสังคม ” แต่ไม่ส่งให้จริง ลูกจ้างก็ยังมีสิทธิของประกันสังคม สำหรับเรื่องที่นายจ้างหักเงินลูกจ้าง แล้วอ้างว่าต้องนำส่งประกันสังคม แต่นายจ้างไม่นำส่งจริง อันนี้ผู้เขียนขอบอกว่า “อย่าหาทำ” เพราะนอกจากนายจ้างจะมีความผิดทางอาญา ตาม พ.ร.บ.ประกันสังคมฯ แล้ว นายจ้างยังจะต้องจ่ายเงินสมทบย้อนหลังและยังต้องรับภาระจ่ายเงินเพิ่มอีกด้วย แล้วลูกจ้างที่โดนหักเงินดังกล่าว จะได้รับสิทธิประโยชน์ของประกันสังคมหรือไม่ คลินิกกฎหมายแรงงานขอตอบให้หายข้องใจว่า 1. ลูกจ้างที่โดนหักเงินสมทบ กฎหมายกำหนดไว้เลยว่า “ให้ถือว่าได้จ่ายเงินสมทบแล้วตั้งแต่วันที่นายจ้างได้หักค่าจ้าง” ไม่ว่านายจ้างจะนำส่งหรือไม่นำส่งก็ตาม ทั้งนี้ตาม ม.47 หากเป็นกรณีที่ลูกจ้างเข้าทำงานใหม่และไปตรวจสอบที่สำนักงานประกันสังคมไม่มีข้อมูลการแจ้งขึ้นทะเบียนผู้ประกันตน โดยสิทธิจะเกิดขึ้นได้โดยลูกจ้างต้องดำเนินการดังนี้ 1.1 ลูกจ้างจะต้องไปแจ้งสำนักงานประกันสังคมพื้นที่ ที่ลูกจ้างทำงานอยู่ว่านายจ้างไม่ยอมนำส่งเงินสมทบ เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริง ทั้งนี้ ลูกจ้างจะต้องมีการเก็บหลักฐานรายการการหักเงินค่าจ้าง สลิปเงินเดือน หรือสเตรทเม้นไว้เป็นหลักฐาน ไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง จึงจะได้รับสิทธิประกันสังคมนับแต่วันที่มีการหักค่าจ้างนั้น (ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการทุจริตที่อาจจะมีลูกจ้างบางรายอาจจะร่วมกันกับนายจ้างแจ้งข้อมูลเท็จเพื่อให้ได้สิทธิประโยชน์จากประกันสังคม) แต่ถ้าหากว่าลูกจ้างเป็นผู้ประกันตนอยู่แล้ว หากนายจ้างหักค่าจ้างไว้แต่ไม่นำส่งเงินสมทบก็ถือว่าลูกจ้างจ่ายเงินสมทบแล้ว ตาม ม.47 ที่ลูกจ้างสามารถใช้สิทธิประกันสังคมได้ทันที (ฎีกาที่ 351/2561) 2. เมื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วพบว่ามีการหักค่าจ้างเพื่อจ่ายเงินสมทบจริง ลูกจ้างก็จะมีสิทธิประกันสังคมนับแต่วันที่มีการหักค่าจ้างนั้น ส่วนนายจ้างก็จะได้รับโทษทางอาญา ฐานไม่นำส่งเงินสมทบ ไม่แจ้งขึ้นทะเบียนนายจ้างและไม่แจ้งขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนให้กับลูกจ้าง และต้องจ่ายเงินสมทบและจ่ายเงินเพิ่ม ดังนี้ 2.1...

ประกาศรับสมัคร แจ้งเงินเดือน ขั้นต่ำ 20,000 บาท มาสมัครจริงให้ 15,000 บาท แบบนี้ผิดกฎหมายมั้ย?

ประกาศรับสมัคร แจ้งเงินเดือน ขั้นต่ำ 20,000 บาท มาสมัครจริงให้ 15,000 บาท แบบนี้ผิดกฎหมายมั้ย? ไปเจอคำถามมาประเด็นหนึ่ง และคิดว่าน่าสนใจ ซึ่งหากนำมาตอบอาจจะคลายข้อสงสัยให้เพื่อนๆหลายคนที่อาจจะเจอสถานการณ์เดียวกัน โดยคำถามมีอยู่ว่า ” ตนเองไปสมัครงานบริษัทนึงและประกาศรับสมัครเขียนไว้ว่าเงินเดือนอยู่ระหว่าง 20,000 บาท ถึง 25,000 บาท แต่เมื่อสัมภาษณ์เรียบร้อยแล้วกลับมีการต่อรองเงินเดือนลงมาเหลือ 18,000 บาท แบบนี้ถือว่า ผิดกฎหมายแรงงาน หรือกฎหมายแพ่งหรือกฎหมายอื่นๆหรือไม่” เชื่อว่าหลายคนอ่านคำถามนี้แล้วก็คงมีคำตอบในใจเลยว่า” ไม่ผิดกฎหมาย” แต่สำหรับคนที่ยังสงสัยว่า เมื่อประกาศดังกล่าวขัดกับการเสนอเงินเดือน จะผิดกฎหมายใดบ้าง คลินิกกฎหมายแรงงานขอตอบให้ฟังดังนี้ 1.ไม่ผิดตามพรบ.คุ้มครองแรงงานฯ แน่นอนเพราะพรบ.คุ้มครองแรงงานฯ คุ้มครองความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง ดังนั้นการที่ยังไม่ได้ตกลงว่าจ้างกัน ย่อมไม่มีสถานะเป็นนายจ้างลูกจ้าง 2.ไม่ผิดตามกฎหมายแพ่งเพราะสัญญาจะเกิดก็ต่อเมื่อคำเสนอและคำสนองถูกต้องตรงกัน การประกาศดังกล่าวของบริษัทเป็นคำเชื้อเชิญให้ผู้สมัครงานส่งใบสมัครเข้ามาเพื่อรับการสัมภาษณ์กับบริษัทเท่านั้น ยังไม่ถือว่าเป็นคำเสนอที่พนักงานจะสามารถสนองรับและเกิดเป็นสัญญาได้ทันที ซึ่งเมื่อพนักงานผ่านการสัมภาษณ์แล้ว จึงจะมีการต่อรองเงินเดือนกันอีกครั้ง ซึ่งเมื่อพนักงานเสนอเงินเดือนที่ต้องการไปตามประกาศคืออยู่ในช่วง 20,000 บาท ถึง 25,000 บาทแต่บริษัทสามารถสนองรับได้ในราคา 18,000 บาท หากไม่เกิดการตกลง สัญญายังไม่เกิด ไม่ถือว่าผิดสัญญา 3.ไม่ผิดตามพรบคุ้มครองผู้บริโภคว่าด้วยการโฆษณาเพราะ ไม่ได้เป็นการ...

ค่าชดเชย vs ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมต่างกันนะ…รู้ยัง!

ค่าชดเชย vs ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมต่างกันนะ…รู้ยัง! อกจากกรณีที่ลูกจ้างฟ้องนายจ้างเรียกค่าบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชย แล้ว ยังมีอีกเรื่องฮอตฮิตไม่แพ้กัน คือ การฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม เนื่องจากการฟ้องคดีแรงงานนั้น ไม่มีค่าใช้จ่าย ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมศาลตามทุนทรัพย์ที่ฟ้อง ลูกจ้างบางรายจึงถือโอกาสนี้เรียกค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม มาสูงมาก แล้วศาลท่านมีหลักเกณฑ์ในการกำหนดค่าเสียหายจากเลิกจ้างไม่เป็นธรรมอย่างไร การกำหนดค่าเสียหายในคดีเลิกจ้างไม่เป็นธรรม พรบ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน มาตรา 49 นั้น ได้มีการวางหลักเกณฑ์ให้ศาลใช้เป็นแนวทางกำหนดค่าเสียหายไว้ในคำพิพากษาศาลฎีกา คือ พิจารณาจาก อายุของลูกจ้าง อายุการทำงานของลูกจ้าง ระยะเวลาการทำงาน ความเดือนร้อนของลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างมูลเหตุในการเลิกจ้าง และเงินค่าชดเชยที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับ ซึ่งลูกจ้างหรือโจทก์ต้องบรรยายฟ้อง และสืบพยานให้ศาลนำไปประกอบการพิจารณาค่าเสียหายดังกล่าว ไม่ใช่ว่าฟ้องมาเท่าไหร่ ศาลก็จะกำหนดให้ตามนั้น ใครยากอ่านรายละเอียดแบบลึกสุดใจศึกษาได้จากฎีกาที่ 6729/2561 เลยคะ

พนักงานทดลองงานมีสิทธิวันหยุด หรือ ค่าล่วงเวลา เหมือนกับพนักงานประจำหรือไม่?

พนักงานทดลองงานมีสิทธิวันหยุด หรือ ค่าล่วงเวลา เหมือนกับพนักงานประจำหรือไม่? หยุดสร้างทัศนคติความเชื่อและความเข้าใจผิดๆ ที่ว่าพนักงานทดลองงานจะไม่ได้รับสิทธิ์ตามกฎหมายเท่ากับพนักงานประจำเสียที !! มีแฟนเพจ Inbox เข้ามาปรึกษาในประเด็นที่ว่า อยู่ในช่วงทดลองงานบริษัทจึงไม่ให้สิทธิ์ลาป่วยและไม่ให้สิทธิ์ลากิจ หากลาจะถูกหักเงินเดือน บริษัทสามารถทำได้หรือไม่ และอยู่ในช่วงทดลองงาน สามารถเลิกจ้างโดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าได้หรือไม่ รวมถึงอยู่ในช่วงทดลองงานแล้ว มาทำงานในวันหยุดนักขัตฤกษ์มีสิทธิ์ได้ค่าทำงานวันหยุดเหมือนพนักงานประจำหรือไม่ คลินิกกฎหมายแรงงาน ขอย้ำตรงนี้อีกครั้งนึงเลยว่า นับแต่วันแรกที่มีสถานะเป็นลูกจ้าง ย่อมได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายแรงงาน ไม่ว่าจะเป็นลูกจ้างซึ่งอยู่ในช่วงทดลองงานหรือพนักงานประจำก็มีสิทธิ์ ตามกฎหมายแรงงานเท่าเทียมกัน เช่น มีสิทธิ์ลาป่วยได้เท่าที่ป่วยจริง โดยได้รับค่าจ้างไม่เกิน 30 วันต่อปี มีสิทธิ์ลาเพื่อไปทำกิจธุระของตนโดยได้รับค่าจ้างไม่น้อยกว่า 3 วันต่อปี รวมถึงหากมาทำงานในวันหยุดก็มีสิทธิ์ได้ค่าจ้างในวันหยุด หรือหากทำงานร่วม ก็มีสิทธิ์ได้ ค่าล่วงเวลา ค่าล่วงเวลาในวันหยุดตามแต่กรณี จะเว้นก็แต่สิทธิประโยชน์ที่บริษัทได้จัดหาไว้สำหรับพนักงานประจำเท่านั้น เช่น สิทธิ์ในการกู้ยืม บัตรประกันสุขภาพกลุ่ม หรือสิ่งอื่นๆที่บริษัทจัดให้มีเพิ่มเติม ซึ่งกฎหมายไม่ได้กำหนดไว้ จากที่บอกไปข้างต้นหวังว่าจะสร้างความเข้าใจเพิ่มเติมให้ได้บ้างไม่มากก็น้อยในเรื่องของพนักงานทดลองงาน ว่ามีสิทธิ์ตามกฎหมายแตกต่างจากพนักงานประจำอย่างไร