กรุณารอสักครู่

 

HomeCategoryกฏหมายแรงงาน Archives - Page 12 of 68 - บริษัท ลีกัล คลินิก แอนด์ เอดดูเคชั่น จำกัด

ลูกจ้างกรณีเป็น Subcontract ใครต้องเป็นคนจ่ายค่าชดเชยกันแน่ นายจ้างเดิมที่ส่งเราไปทำงานหรือนายจ้างที่ถูกส่งไปทำงานด้วย

ลูกจ้างกรณีเป็น Subcontract ใครต้องเป็นคนจ่ายค่าชดเชยกันแน่ นายจ้างเดิมที่ส่งเราไปทำงานหรือนายจ้างที่ถูกส่งไปทำงานด้วย ลูกจ้างซัพ คือ ลูกจ้างรับเหมาค่าแรง ที่เรียกว่า ซัพ มาจาก Sub-Contract นายจ้างหรือสถานประกอบการส่วนใหญ่ทุกวันนี้ มักใช้ใช้ระบบนี้กันมาก เพราะไม่ต้องทำสัญญากับลูกจ้างโดยตรง แต่เป็น การจ้างบริษัทอื่นให้เป็นผู้จัดหาแรงงาน ทำทุกขั้นตอนในการจัดหาบุคคลเริ่มตั้งแต่ประกาศสัมภาษณ์งานเซ็นสัญญา หรือหากพูดง่ายๆก็คือ ลูกจ้างของนายจ้างอื่นที่เพียงแค่เข้ามารับเหมาค่าแรง ดังนั้น สถานประกอบก็ยิ้มหวานเลยทีนี้ เพราะไม่ต้องรับภาระในการจ่าย ประกันสังคมไม่ต้องจ่าย ไม่ผูกฟันเรื่องสัญญาจ้าง และคำถามสุดฮอต ว่ากรณีลูกจ้างที่ทำงานในลักษณะซัพ (Sub-Contract) เมื่อถูกเลิกจ้าง จะได้ค่าชดเชยหรือไม่ และใครจะเป็นผู้จ่ายค่าชดเชย ยกตัวอย่าง บริษัท กอไก่ เป็นบริษัทรับเหมาค่าแรง ส่งลูกจ้างไปทำงานให้แก่บริษัท กอแก้ว สัญญาระหว่าง กอไก่ กับกอแก้ว ถือเป็ฯสัญญาบริการซึ่งกันและกัน ตัวลูกจ้างเอง ถือว่า บริษัท กอไก่ เป็นนายจ้างหลัก และบริษัท กอแก้ว ถือเป็นนายจ้างรอง (นายจ้างลำดับที่สอง) ดังนั้น หากบริษัท กอแก้ว ยกเลิกสัญญากับ กอไก่ ก็เป็นเพียงการยกเลิกสัญญาบริการที่สองบริษัททำต่อกัน...

นายจ้างร่วมของลูกจ้าง Subcontract คืออะไร แบ่งกันรับผิดยังไง?

นายจ้างร่วมของลูกจ้าง Subcontract คืออะไร แบ่งกันรับผิดยังไง? การจ้างเหมาแรงงาน (Subcontract) เข้ามาทำงานในตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับการผลิตหรือธุรกิจของผู้ประกอบกิจการแล้ว ลูกจ้างเหมาค่าแรงเหล่านี้จะถือเป็นลูกจ้างของผู้ประกอบกิจการไปโดยผลของกฎหมายทันที ซึ่งก็หมายความว่าผู้ประกอบกิจการจะเป็น “นายจ้างร่วม” กับผู้ให้บริการรับเหมาแรงงาน ซึ่งจะต้องร่วมรับผิดกับผู้ให้บริการรับเหมาแรงงานในการปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานต่อลูกจ้างรับเหมาค่าแรงด้วย ในส่วนของนายจ้างหลัก ซึ่งมีการจ้างแรงงานเป็นสัญญาประเภทหนึ่งประกอบด้วยบุคคลสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเรียกว่านายจ้าง ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งเรียกว่าลูกจ้าง โดยฝ่ายที่เป็นนายจ้างเป็นฝ่ายที่มีสิทธิในการมอบหมาย การงานให้กับฝ่ายที่เป็นลูกจ้างทำในขอบเขตของงานที่ฝ่ายนายจ้างเป็นผู้กำหนดหรือตามที่ทั้งสองฝ่ายตกลงกัน ตาม ป.พ.พ.มาตรา 575 อันวา่ จ้างแรงงานนั้น คือสัญญา ซึ่งบุคคลคนหนึ่ง เรียกว่าลูกจ้าง ตกลงจะ ทำงานให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่านายจ้าง และนายจ้างตกลงจะให้สินจ้างตลอดเวลาที่ทำงานให้ รวมถึงหน้าที่ตามกฎหมายแรงงานบางประการเกี่ยวกับการจ่ายเงินเข้ากองทุนเงินทดแทน กองทุนประกันสังคม รวมทั้งภาระหน้าที่ตามกฎหมายอย่างอื่นที่ผู้ประกอบกิจการในฐานะนายจ้างจะต้องร่วมรับผิดชอบกับลูกจ้าง ในส่วนของนายจ้างร่วม (นายจ้างที่นายจ้างหลักส่งลูกจ้างไปทำงานให้) มาตรา 11/1 ในกรณีที่ผู้ประกอบกิจการมอบหมายให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดเป็นผู้จัดหาคนมาทำงานอันมิใช่การประกอบธุรกิจจัดหางานโดยการทำงานนั้นเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดในกระบวนการผลิตหรือธุรกิจในความรับผิดชอบของผู้ประกอบกิจการ และโดยบุคคลนั้นจะเป็นผู้ควบคุมดูแลการทำงานหรือรับผิดชอบในการจ่ายค่าจ้างให้แก่คนที่มาทำงานนั้นหรือไม่ก็ตาม ให้ถือว่าผู้ประกอบกิจการเป็นนายจ้างของคนที่มาทำงานดังกล่าวให้ผู้ประกอบกิจการดำเนินกิจการให้ลูกจ้างรับเหมาค่าแรงที่ทำงานในลักษณะเดียวกันกับลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยตรงได้รับสิทธิประโยชน์ และสวัสดิการที่เป็นธรรมโดยไม่เลือกปฏิบัติ” เมื่อพิจารณาวรรคที่สอง ผู้ประกอบกิจการจะต้องดำเนินการให้ลูกจ้างรับเหมาค่าแรงได้รับสิทธิประโยชน์และสวัสดิการที่ถูกต้อง ตามระเบียบ เช่นเดียวกับลูกจ้างของตนเองที่ทำงานอย่างเดียวกัน ตัวอย่างเช่น มีโบนัสประจำปี มีสวัสดิการค่าอาหาร ค่ารถค่าครองชีพ เป็นต้น (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 22326-220404/2555) กล่าวโดยสรุปคือ นายจ้างหลักจะต้องจ่ายค่าจ้าง ส่วนนายจ้างร่วมจะต้องรับผิดชอบลูกจ้างรับเหมาค่าแรงที่ทำงานในลักษณะเช่นเดียวกับลูกจ้างตามสัญญาจ้าง...

ลูกจ้าง subcontract ขโมยของ!! นายจ้างตัวจริงที่ส่งไป ต้องรับผิดหรือไม่…มีข้อยกเว้นหรือเปล่า

ลูกจ้าง subcontract ขโมยของ!! นายจ้างตัวจริงที่ส่งไป ต้องรับผิดหรือไม่…มีข้อยกเว้นหรือเปล่า คำถามนี้เป็นคำถามที่โคตรเห็นใจนายจ้าง ที่ส่งไปแล้วก็นายจ้างที่ถูกขโมยของเพราะผู้ที่เข้ามาปรึกษา ก็ท้อใจบอกว่าจ้างพนักงานส่งไปทำงานให้ไม่คิดว่าเขาจะเป็นขโมยค่ะโจรแล้วไปขโมยสินค้าตั้งเยอะบริษัทจะเอาที่ไหนไปรับผิดชอบกรณีนี้กฎหมายว่าไว้ว่ายังไงเดี๋ยวมาอ่านกันนะคะ เมื่อลูกจ้างกระทำความผิดต่อบุคคลภายนอก นายจ้างต้องร่วมรับผิดชอบด้วย เนื่องจากหน้าที่สำคัญของนายจ้างคือการพิจารณาคัดเลือกลูกจ้างเข้าทำงาน หากลูกจ้างปฏิบัติหน้าที่ไม่ดี ไม่อบรมสั่งสอน เพราะการทำงานของลูกจ้างเปรียบเสมือนนายจ้างเป็นผู้กระทำเอง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 425 บัญญัติว่านายจ้างต้องร่วมกันรับผิดกับลูกจ้างในผลแห่งละเมิด ซึ่งลูกจ้างได้กระทำในทางการจ้างนั้น และ มาตรา 426 บัญญัติว่า นายจ้างซึ่งได้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกเพื่อละเมิดลูกจ้างได้ทำนั้น ชอบที่จะได้ชดใช้จากลูกจ้างนั้น ตามมาตราดังกล่าวจะเห็นได้ว่าลูกจ้างตามสัญญาจ้างแรงงานได้กระทำละเมิด ทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น นายจ้างต้องรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม โดยเป็นความรับผิดอย่างเด็ดขาด ไม่สามารถปฏิเสธได้ (คำพิพากษา 3757/2553) อย่างไรก็ตามหากเป็นการกำหนดไว้ในข้อสัญญาว่านายจ้าง ที่ลูกจ้างปฏิบัติงานอยู่ที่เป็นผู้ควบคุมการทำงานและรับผิดชอบความเสียหายเอง (หากมี) หากมีกำหนดไว้แบบนี้นายจ้างที่ส่งไปจึงจะมีข้อหยิบยกขึ้นมาอ้างในการไม่ต้องรับผิดในความเสียหายดังกล่าวก็ได้เช่นกัน ติดต่องานสอน คดีความ ที่ปรึกษา INBox / info@legalclinic.co.th #subcontract #ขโมย #hr #HR #ot #เลิกจ้าง #บริษัท #ลูกจ้าง #เจ้านาย #ลูกน้อง #ไล่ออก #ลาออก #แรงงาน

งานอื่นๆที่ได้รับมอบหมาย = ทำทุกอย่างครอบจักรวาล ใช่เหรอ?

งานอื่นๆที่ได้รับมอบหมาย = ทำทุกอย่างครอบจักรวาล ใช่เหรอ? อย่างที่รู้ๆกันว่าในขอบเขตงาน (Job descriptions) มักจะมีคำว่า “Other tasks as assigned” หรือ “ปฏิบัติงานอื่นๆ ตามที่ได้รับมอบหมาย” ดังนั้น ประโยคนี้จึง ถูกหยิบยกขึ้นมาอ้างว่า ไม่ว่าฉันจะสั่งอะไรเธอก็ต้องทำ!! ลูกจ้างก็ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธนะ ถ้าไม่ทำเดี๋ยวจะถูกหาว่า ขัดขืนคำสั่ง จะให้ฝ่ายบุคคลออก Warning นะ เจอแบบนี้ฝ่ายบุคคลถ้าไปรับคำสั่งแล้วทำตามหัวหน้างานล่ะก็ อยากจะส่งเพลง มิลลิ ให้ว่า “พักก่อน ทนายอยากให้เธอพักผ่อน” พักก่อนแล้วมาตั้งสติ คำครอบจักรวาลอย่างคำว่า “งานอื่นๆที่ได้รับมอบหมาย” นายจ้างต้องเข้าใจนะคะว่าถ้อยคำดังกล่าว ไม่ได้บังคับใช้ได้ครอบจักรวาลและการที่นายจ้างจะมาเพิ่มความรับผิดชอบแก่ลูกจ้าง อาจจะกลายเป็นการเปลี่ยนสภาพการจ้างโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย (ฎีกา635/2534) โดย พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน มาตรา 14/1 สัญญาจ้างระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ระเบียบ หรือคำสั่งของนายจ้างที่ทำให้นายจ้างได้เปรียบลูกจ้างเกินสมควร ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ สัญญาจ้าง ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ระเบียบ หรือคำสั่งนั้นมีผลใช้บังคับเพียงเท่าที่เป็นธรรมและ พอสมควรแก่กรณี ดังนั้น ในการมอบหมายงานควรชี้แจงและตกลงให้เรียบร้อยตั้งแต่ต้นหรือหากมีการมอบหมายงานเพิ่มก็ควรจะเกี่ยว เนื่องกับงานเดิมไม่ได้เพิ่มภาระให้กับลูกจ้างเกินสมควร...

หัวหน้าใช้ให้ทำงานส่วนตัว ถ้าไม่ทำผิดมั้ยคะ?

หัวหน้าใช้ให้ทำงานส่วนตัว ถ้าไม่ทำผิดมั้ยคะ? เชื่อได้เลยว่า ในบางองค์กรการจะเติบโตด้วยงานดีอย่างเดียว อาจไม่พอ เพราะความสัมพันธ์ที่ดีพร้อมกับมีผลงานที่ดีด้วย หากหัวหน้าและลูกน้องมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ชีวิตการทำงานก็จะราบรื่น แต่บางทีหัวหน้างานมักจะขอให้ลูกน้องทำเรื่องส่วนตัวให้ จนลืมนึกไปถึงการให้เกียรติกัน นอกจากงานที่บริษัทซึ่งเยอะมากแล้วยังโยนงานส่วนตัวมาให้อีก จะไม่ช่วยก็กลัวว่าจะอยู่ยาก จะขัดก็ไม่ได้อีก หากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ จะทำยังไงดี หากนายจ้างมีพฤติกรรมดังกล่าว แนะนำให้ไปหาฝ่ายบุคคลเพื่อร้องเรียน ลูกจ้างต้องมีความกล้าหาญที่จะสู้กับเรื่องที่ไม่ถูกต้องก่อน และฝ่ายบุคคลก็ต้องรูกว่าพฤติกรรมดังกล่าวถือเป็น”การจ้างงานที่เข้าข่ายการบังคับใช้แรงงาน” เพราะเป็นการบีบบังคับให้ลูกจ้างทำงานตามที่ต้องการ โดยลูกจ้างไม่สมัครใจ ทั้งนี้ ถ้าการกระทำดังกล่าวของหัวหน้ายังเป็นการ ใช้เวลางาน อุปกรณ์เครื่องมือ และพนักงานทำธุรกิจส่วนตัว ถือเป็นการเบียดบังเวลาและทรัพย์สินของนายจ้าง เพื่อแสวงหาประโยชน์ส่วนตัว ถือเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ สามารถเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย (คำพิพากษาฎีกาที่ 12820/2553) เพราะฉะนั้นหลักการของเรื่องนี้คือถ้าเรื่องที่ขอให้ช่วยไม่เกี่ยวกับงานของบริษัท แต่เป็นงานส่วนตัวของหัวหน้า และต้องเบียดบังเอาเวลางานบริษัทไปทำ อันนี้ผิดแน่นอน รีบกันตัวเองออกจากความผิดก่อน ร้องเรียนไปยังฝ่ายบุคคล หรือหัวหน้างานในลำดับถัดไป การปฏิเสธสิ่งที่ไม่ถูกต้องและทำให้เราเดือดร้อนไม่ได้แปลว่าเราไม่มีน้ำใจ แต่แปลว่าเรายืนอยู่บนความถูกต้อง หากมีหัวหน้างานที่มักกระทำการแนวนี้ ฝ่ายบุคคลก็ต้องย้อนกลับมาดูที่ “วัฒนธรรมขององค์กร” อาจจะถึงเวลาที่ต้องปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงแล้วหล่ะค่ะ

JOB FAMILY คืออะไร ?

JOB FAMILY คืออะไร ?? เคยคิดหรือไม่ว่าพนักงานจะเติบโตภายในองค์กรต่อไปได้อย่างไร? หลายๆบริษัทฯมักจะมีการวางแผนและพัฒนาพนักงานด้วยการจัดกลุ่มความสามารถเชิงสมรรถนะ เพื่อวางโครงสร้างองค์กร และวางรูปแบบของการพัฒนา “คน” ให้เหมาะสมกับความรู้และความสามารถ เพื่อให้พนักงานได้มีเส้นทางความก้าวหน้าในอาชีพ (Career path) และเป็นการสร้างให้พนักงานเห็นคุณค่าของการพัฒนาตัวเอง และเป้าหมายในการทำงาน ซึ่งในการจัดการดังกล่าวหลายๆบริษัทจะต้องเริ่มจากการศึกษาโครงสร้างองค์กรในปัจจุบัน ซึ่งการจัดกลุ่มงาน หรือที่เคยได้ยินว่า “Job family” เป็นส่วนที่บริษัทควรคำนึงถึงเพื่อวิเคราะห์โครงสร้างให้เหมาะกับลักษณะของธุรกิจ   Job family คือ การแบ่งกลุ่มตำแหน่งงานที่เกี่ยวข้องภายในองค์กรที่มีลักษณะ ทักษะ และความรับผิดชอบคล้ายคลึงกัน ตำแหน่งงานเหล่านี้มักจัดอยู่ในหมวดหมู่หรือสาขากว้างๆ เดียวกัน และอาจมีระดับความอาวุโสหรือความเชี่ยวชาญที่แตกต่างกันไป ตัวอย่างเช่น ภายในสาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) กลุ่มงานอาจมีตำแหน่งต่างๆ เช่น: นักพัฒนาซอฟต์แวร์ ผู้ดูแลระบบ วิศวกรเครือข่าย ผู้ดูแลระบบฐานข้อมูล แต่ละตำแหน่งเหล่านี้จัดอยู่ในกลุ่มงานไอที แต่อาจมีความรับผิดชอบและความต้องการทักษะที่แตกต่างกัน ภายในกลุ่มงานเดียวกัน อาจมีบทบาทระดับจูเนียร์ ระดับกลาง และระดับอาวุโสที่สะท้อนถึงระดับประสบการณ์และความเชี่ยวชาญที่แตกต่างกัน ขั้นตอนของการจัดกลุ่มงาน (Job Family) เป็นการจัดแบ่งกลุ่มงานที่มีหน้าที่ความรับผิดชอบ และคุณสมบัติของตำแหน่งงานใกล้เคียงกันให้อยู่ในกลุ่มเดียวกัน โดยวิเคราะห์จากคำบรรยายลักษณะงานของตำแหน่งงานที่จัดทำขึ้น โดยการจัดกลุ่มงานมีวิธีการที่สำคัญดังต่อไปนี้   ศึกษาขอบเขตหน้าที่งาน...

ขั้นการดำเนินคดีอาญากับนายจ้าง กรณีไม่จ่ายค่าจ้าง

ขั้นการดำเนินคดีอาญากับนายจ้าง กรณีไม่จ่ายค่าจ้าง การดำเนินคดีอาญากรณีนายจ้างที่เป็นนิติบุคคล พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานฯ มาตรา 158 บัญญัติไว้ว่า “ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคลถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการ หรือการกระทำของบุคคลใ หรือไม่สั่งการ หรือไม่กระทำการอันเป็นหน้าที่ที่ต้องกระทำของกรรมการผู้จัดการ หรือบุคคลใด ซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้นผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้นๆ ด้วย” ขั้นตอนและวิธีการดำเนินคดีอาญากับนายจ้าง กรณีไม่จ่ายค่าจ้างให้ลูกจ้าง ซึ่งสามารถทำได้ 2 วิธีดังนี้ค่ะ 1.ลูกจ้างสามารถยื่นร้องเรียนต่อเจ้าพนักงานตรวจแรงงาน เพื่อให้พนักงานตรวจแรงงานทำการสอบสวนข้อเท็จจริงทั้งหมดว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร และหากพนักงานตรวจแรงงานได้สอบสวนข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่า นายจ้างกระทำความผิดจริง พนักงานตรวจแรงงานก็จะมีคำสั่งให้นายจ้างปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมายเสียก่อน 2. หากนายจ้างยังฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตาม พนักงานตรวจแรงงานจะแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนในท้องที่ที่เกิดเหตุเพื่อให้พนักงานสอบสวนสอบปากคำนายจ้าง และดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป 3.ลูกจ้างสามารถว่าจ้างทนายความ เพื่อดำเนินการฟ้องร้องต่อศาลเพื่อดำเนินคดีอาญาต่อศาลอาญา โดยตรงก็ได้เช่นกัน ทั้งนี้นั้นทั้ง 2 วิธีดังที่กล่าวมาข้างต้น ลูกจ้างไม่สามารถดำเนินการพร้อมกันทั้ง 2 วิธีได้ ลูกจ้างจะต้องเลือกทำวิธีใดวิธีนึงเท่านั้นนะคะ

ถึงกำหนดเกษียณแล้วแต่นายจ้างยังไม่จ่ายต่อมาลูกจ้างลาออก นายจ้างยังต้องจ่ายค่าเกษียณจะเนียนไม่ได้

ถึงกำหนดเกษียณแล้วแต่นายจ้างยังไม่จ่ายต่อมาลูกจ้างลาออก นายจ้างยังต้องจ่ายค่าเกษียณจะเนียนไม่ได้ ชื่อว่าหลายๆคนคงเจอกรณีนี้ กับกรณีที่ทำงานมาเรื่อยๆ เมื่อถึงกำหนดการเกษียณอายุตามระเบียบข้อบังคับของบริษัทหรือตามกฎหมายกำหนดไว้ แต่นายจ้างมองว่ายังมีความรู้ความสามารถและมีศักยภาพมากพอที่จะทำงานต่อจึงให้ทำงานต่อไปเรื่อยๆ จนวันนึงลูกจ้างมีความประสงค์จะลาออกอยากไปเลี้ยงหลานเอง แต่นายจ้างกลับบอกว่าอันนี้เป็นการลาออกเองไม่ใช่เกษียณจึงขอไม่ให้ค่าชดเชยกรณีนี้”ไม่ถูกต้อง” เพราะหากใครพูดภาษาชาวบ้านหรือพูดง่ายๆแล้วก็จะเข้าใจได้ว่าเมื่อวันที่เขามี สิทธิ์เกษียณเขาจะต้องได้รับเงินเกษียณอายุแล้วการที่นายจ้างไม่จ่ายก็จะเป็นเรื่องของดอกเบี้ยเพิ่มเติมไปอีก แล้วต่อมาแม่จะมีการลาออกก็ไม่ได้ทำให้ข้อเท็จจริงที่ว่าลูกจ้างควรจะได้รับเงินเกษียณตั้งแต่อายุ 60 เปลี่ยนแปลงไปดังนั้นนายจ้างยังคงต้องจ่ายเงินเกษียณให้แก่ลูกจ้างจะอ้างว่าลูกจ้างลาออกเองไม่ได้ค่ะ ใครอยากอ่านกฎหมายอ้างอิง ลองพิจารณาตาม พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานฉบับที่ 6 พ.ศ.2560 ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2560 โดยมาตรา 6 ให้เพิ่มประเด็นต่อไปนี้เป็นมาตรา 118/1 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ซึ่งสรุปได้ดังนี้ 1. การเกษียณอายุตามที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันหรือตามที่นายจ้างกำหนดไว้ให้ถือว่าเป็นการเลิกจ้าง 2. ในกรณีที่มิได้มีการตกลงหรือกำหนดการเกษียณอายุไว้ หรือมีการตกลงหรือกำหนดการเกษียณอายุไว้เกินกว่าหกสิบปี ให้ลูกจ้างที่มีอายุครบหกสิบปีขึ้นไปมีสิทธิแสดงเจตนาเกษียณอายุได้โดยให้แสดงเจตนาต่อนายจ้างและให้มีผลเมื่อครบสามสิบวันนับแต่วันแสดงเจตนา และให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างที่เกษียณอายุนั้นตามมาตรา 118 วรรคหนึ่ง เมื่อกฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้นั้น นายจ้างทุกคนมีทางเลือกแค่ว่าลูกจ้างของตน มีกำหนดเกษียณอายุหรือไม่และเมื่อไรเท่านั้น เพราะตามกฎหมายได้ระบุไว้ชัดเจนว่าการเกษียณอายุถือว่าเป็นการเลิกจ้างซึ่งนายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชย แต่ถ้าไม่มีกำหนดเกษียณอายุไว้ก็ถือว่าลูกจ้างนั้นๆ เกษียณอายุที่ 60 ปี สรุปง่ายๆเลยคือ นายจ้างต้องจ้างต่อไปจนลูกจ้างคนนั้นอายุ 60 ปี จึงจะปลดเกษียณ โดยนายจ้างต้องจ่ายเงินชดเชยกรณีเลิกจ้างให้กับลูกจ้าง โดยต้องนับอายุการทำงานของลูกจ้างตั้งแต่แต่วันแรกที่เข้ามาทำงานถึงวันที่มีการเลิกจ้างนั่นเอง โดยกฎหมายแรงงาน...

ทำไมออกหนังสือเตือนแล้วเลิกจ้างตามระเบียบจึงแพ้คดีได้อีก?

ทำไมออกหนังสือเตือนแล้วเลิกจ้างตามระเบียบจึงแพ้คดีได้อีก?? คำถามนี้เข้าใจนะคะว่านายจ้างเจ็บปวดทั้งๆที่ลูกจ้างก็ทำผิดจริงแต่เมื่อทำการลงโทษไล่ลูกจ้างออกตามระเบียบกรณีทำผิดซ้ำคำเตือนแต่กลายเป็นแพ้คดี เมื่อมาไล่เรียงข้อเท็จจริงดูแล้วพบว่ามีอยู่หลายกรณี เช่นหนังสือเตือนมีลักษณะเป็นหนังสือแจ้งเพื่อทราบไม่มีความหนักแน่น ไม่มีบทลงโทษบอกไว้ว่าหากกระทำผิดจะถูกพิจารณาโทษสถานหนักอย่างไร บางแห่งเป็นหนังสือให้ลูกจ้างเขียนว่ายอมรับความผิด ซึ่งไม่ได้เข้าลักษณะองค์ประกอบของหนังสือเตือนแม้แต่น้อย ดังนั้นหากหนังสือเตือนนั้นไม่ครบถ้วนตามองค์ประกอบที่หนังสือเตือนควรจะต้องมี การที่นายจ้างไล่ลูกจ้างออกก็อาจจะเป็นเหตุที่ทำให้นายจ้างแพ้คดีได้ส่วนหนังสือเตือนที่ถูกต้องจะต้องมีลักษณะอย่างไรนั้น โปรดอ่าน หนังสือเตือนที่ถูกต้องควรมีข้อความให้ครบถ้วนตามหลักกฎหมาย โดยมี 1.สถานที่ออกหนังสือเตือน 2. วันเดือนปี 3. เตือนลูกจ้างรายใด 4. ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการฝ่าฝืน และข้ออ้างที่ระบุว่าการกระทำนั้นเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของบริษัท 5. มีข้อความที่มีลักษณะเป็นการเตือน และกำหนดว่าหากมีการฝ่าฝืนอีกบริษัทจะลงโทษทางวินัยในสถานหนักขึ้นตามระเบียบข้อบังคับต่อไปและที่สำคัญ 6.ต้องลงลายมือชื่อของนายจ้างตัวแทนนายจ้างที่มีอำนาจออกหนังสือเตือนด้วย

นายจ้างไม่คืนเงินประกัน อ้างว่า เสียหายจากการที่ลูกจ้างออกจากงานไม่บอกล่วงหน้า ไม่ได้!!

นายจ้างไม่คืนเงินประกัน อ้างว่า เสียหายจากการที่ลูกจ้างออกจากงานไม่บอกล่วงหน้า ไม่ได้!! หลายครั้งที่นายจ้างตกมาตายก็เข้าใจว่าเงินค้ำประกันความเสียหายที่ลูกจ้างให้ไว้สามารถนำมาหัก ได้ในกรณีที่ลูกจ้าง ลาออกโดยไม่บอกล่วงหน้าหรือบอกไม่ครบ ทำไมถึงบอกว่าตกม้าตายนั่นก็เป็นเพราะว่า การจะใช้เงินประกันและชำระค่าเสียหายต้องพิสูจน์ว่า นายจ้างมีความเสียหายหรือไม่เพียงใดและลูกจ้างต้องยอมรับได้ว่าเสียหายจริงซึ่งจะทำได้หากลูกจ้างไม่ยินยอมก็ต้องไปฟ้องแยกเป็นค่าเสียหายเอาเอง โดยเงินประกันนั้นนายจ้างต้องคืนเงินประกันให้แก่ลูกจ้างภายใน 7 วันหลังออกจากงานมิเช่นนั้นลูกจ้างก็มีสิทธิ์เรียกดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี