กรุณารอสักครู่

 

HomeCategoryกฏหมายแรงงาน Archives - บริษัท ลีกัล คลินิก แอนด์ เอดดูเคชั่น จำกัด

ความรับผิดของผู้รับเหมาชั้นต้นร่วมกับผู้รับเหมาช่วง

ความรับผิดของผู้รับเหมาชั้นต้นร่วมกับผู้รับเหมาช่วง   มาตรา 12 ในกรณีให้ ”นายจ้างเป็นผู้”รั บเหมาช่วง ให้ผู้รับเหมาช่วง ถัดขึ้นไป หากมีตลอดสายจนถึงผู้รับเหมาขึ้นต้นร่วมรับผิดกับผู้รับเหมาช่วง ขึ้งเป็นนายจ้างในค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าหำงานในวันหยุด ค่าล่วงเวลาในวันหยุด ค่าชดเชย ค่าชดเชยพิเศษ เงินสะสม เงินสมทบ หรือเงินเพิ่มให้ผู้รับเหมาชั้นต้นหรือผู้รับเหมาช่วงตามวรรคหนึ่ง มีสิทธิไล่เบี้ยเงินที่ไต้จ่ายไปแล้วตามวรรคหนึ่งคืนจากผู้รับเหมาช่วงขึ้งเป็นนายจ้าง   ข้อสังเกต 3 ประการ สำหรับ มาตรา 12 คือ ผู้ว่าจ้างไม่ต้องร่วมรับผิดต่อลูกจ้างของนายจ้างผู้รับเหมาช่วง ผู้รับเหมาชั้นต้นและผู้รับเหมาช่วงไม่1ใช่นายจ้างเพียงแต่ต้องร่วมรับผิดกับนายจ้าง ผู้รับเหมาชั้นต้นและผู้รับเหมาช่วงต้องร่วมรับผิดเฉพาะเงิน ตามมาตรา 12 เท่านั้น1 ไม่รวมถึงเงินอื่นๆ1 เม็ดเงินสำคัญเท่านั้น ได้แก่ ค่าจ้าง ค่าล1วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด ค่าล่วงเวลาในวันหยุด ค่าชดเชย ค่าชดเชยพิเศษ เงินสะสม เงินสมทบหรือเงินเพิ่ม   ฎีกาที่ 4159/2560 ผู้รับเหมาชั้นต้นจ่ายเงินค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุดให้ลูกจ้างแทนผู้รับเหมาช่วงซึ่งเป็นนายจ้างไปแล้วย่อมมีสิทธิฟ้องไล่เบี้ยค่าจ้างดังกล่าวจากผู้รับเหมาช่วงได้พร้อมดอกเบี้ยผิดนัด   ฎีกาที่ 15186 –...

ผลเมื่อนายจ้างผิดนัดชำระหนี้ให้แก่ลูกจ้าง  (เรียกดอกเบี้ย)

นายจ้างผิดนัดชำระหนี้ให้แก่ลูกจ้าง (เรียกดอกเบี้ย)   มาตรา 9 ในกรณีที่นายจ้างไม่คืนหลักประกันที่เป็นเงินตามมาตรา 10 วรรคสอง ไม่จ่ายเงินกรณีนายจ้างบอกเลิกสัญญาจ้างโดยไม่บอกกล่าว ล่วงหน้าตามมาตรา 17/1 หรือไม่จ่ายค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานใน วันหยุด ค่าล่วงเวลาในวันหยุด และเงินที่นายจ้างมีหน้าที่ต้องจ่ายตาม พระราชบัญญัตินี้ภายในเวลาที่กำหนดตามมาตรา 70 หรือไม่จ่ายเงินกรณี นายจ้างหยุดกิจการตามมาตรา 75 หรือค่าชดเชยตามมาตรา 118 ค่าชดเชยพิเศษแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าหรือค่าชดเชยพิเศษตามมาตรา 120 มาตรา 120/1 มาตรา 121 และมาตรา 122 ให้นายจ้างเสียดอกเบี้ยให้แก่ลูกจ้างใน ระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละสิบห้าต่อปี   ในกรณีที่นายจ้างจงใจไม่คืนหรือไม่จ่ายเงินตามวรรคหนึ่งโดยปราศจากเหตุผลอันสมควรเมื่อพ้นกำหนดเวลาเจ็ดวันนับแต่วันที่ถึงกำหนดคืนหรือจ่าย ให้นายจ้างเสียเงินเพิ่มให้แก่ลูกจ้างร้อยละสิบห้าของเงินที่ค้างจ่ายทุกระยะเวลาเจ็ดวัน   ในกรณีที่นายจ้างพร้อมที่จะคืนหรือจ่ายเงินตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง และได้นำเงินไปมอบไว้แก่อธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายเพื่อจ่ายให้แก่ลูกจ้าง นายจ้างไม่ต้องเสียดอกเบี้ยหรือเงินเพิ่มตั้งแต่วันที่นายจ้างนำเงินนั้นไปมอบไว้   แต่ถ้านายจ้างผิดนัดไม่จ่ายค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด ค่าล่วงเวลาในวันหยุด เพราะประกอบกิจการขาดทุน ไม่มีเงินที่จะจ่ายให้แก่ลูกจ้าง หรือเข้าใจโดยสุจริตว่าไม่มีหน้าที่ต้องจ่าย ในกรณีเหล่านี้ ไม่ถือว่านายจ้างจงใจผิดนัดโดยปราศจากเหตุผลอันควรแม้จะถือว่าเป็นการผิดนัดต้องเสียดอกเบี้ยแต่นายจ้างก็ไม่ต้องรับผิดในเงินเพิ่ม   ฎีกาที่ 5466-5467/2545 การเรียกเงินเพิ่มตามมาตรานี้จะต้องปรากฏว่านายจ้างจงใจไม่จ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างโดยปราศจากเหตุผลอันสมควร...

สัญญาจ้างมีกำหนดระยะเวลา ไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า แต่ต้องจ่ายค่าชดเชย

สัญญาจ้างมีกำหนดระยะเวลา ไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า แต่ต้องจ่ายค่าชดเชย   ประเด็นนี้ นายจ้างหลายคนมักเข้าใจผิด และยึดแนวปฏิบัติที่ไม่ถูกต้อง ทำให้ถูกฟ้องร้องกันมาหลายรอบแล้ว คือ ความเข้าใจที่ว่า…   “สัญญาจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาไม่เกิน 2 ปีไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย” ความเข้าใจดังกล่าว ทำให้เกิดการทำสัญญาลักษณะแบบมีกำหนดระยะเวลา เพื่อเลี่ยงค่าชดเชยกันมาเรื่อยๆ ซึ่งความเข้าใจดังกล่าวไม่ถูกต้องเสียทีเดียว ส่วนไม่ถูกยังไงนั้น มาอ่านกัน   1. เมื่อนายจ้างกับลูกจ้างได้ทำสัญญาจ้างแรงงานที่มีกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้ เมื่อครบกำหนดระยะเวลาตามสัญญาจ้างดังกล่าว สัญญาจ้างย่อมสิ้นสุดลงทันที นายจ้างหรือลูกจ้าง “ไม่ต้องบอกกล่าวต่อกันว่าสัญญาจ้างเป็นอันสิ้นสุดหรือเป็นอันเลิกกัน”   2. การที่สัญญาจ้างสิ้นสุดลงเมื่อครบกำหนดระยะเวลาการจ้างถือว่าเป็นการเลิกจ้างด้วย ดังนั้น หากลูกจ้างตามสัญญาจ้างดังกล่าวทำงานติดต่อกับครบ 120 วัน นายจ้าง ***ต้องจ่ายค่าชดเชยให้กับลูกจ้าง***   3. ส่วนวรรค 3 และ 4 ของมาตรา 118 ที่บอกว่า “ค่าชดเชยตามมาตรา 118 มิให้ใช้บังคับแก่ลูกจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอนและเลิกจ้างตามกำหนดระยะเวลาสำหรับการจ้างงานในโครงการเฉพาะที่มิใช่งานปกติของธุรกิจ หรือการค้าของนายจ้าง ซึ่งต้องมีระยะเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดของงานที่แน่นอนหรือในงานอันมีลักษณะเป็นครั้งคราว…”   ***ความตามข้อนี้ คือ ต้องไม่ใช่กิจการของนายจ้างจริงๆ เช่น...

งานผลิตสารเคมีอันตราย ถ้าหากมีอุปกรณ์ป้องกันแล้ว นายจ้างสั่งให้ลูกจ้างทำงาน 8 ชั่วโมง/วัน ลูกจ้างจะต้องได้รับค่าล่วงเวลาหรือไม่

งานผลิตสารเคมีอันตราย ถ้าหากมีอุปกรณ์ป้องกันแล้ว นายจ้างสั่งให้ลูกจ้างทำงาน 8 ชั่วโมง/วัน ลูกจ้างจะต้องได้รับค่าล่วงเวลาหรือไม่   แม้ว่าจะเป็นงานผลิตสารเคมีอันตราย หรือใช้สารเคมีอันตรายเป็นสารตั้งต้นในการผลิต แต่หากลักษณะของโรงงานผลิตสารเคมีปลอดภัยตามมาตรฐานที่กฎหมายกำหนด มีอุปกรณ์และระบบป้องกัน อีกทั้งงานของตัวลูกจ้างก็ไม่ใช่งานที่ต้องสัมผัสกับสารอันตรายเป็นระยะเวลานานก็ถือว่าไม่ใช่งานอันตรายที่ห้ามทำเกิน 7 ชั่วโมง/วัน ลูกจ้างจะไม่ได้รับค่าล่วงเวลา   แต่ถ้าหากไม่เหมือนกรณีตามที่ได้กล่าวไปข้างต้นทุกประการ เช่น แม้ตัวโรงงานและอุปกรณ์ป้องกันทุกอย่างจะครบถ้วนตามมารฐาน แต่ลูกจ้างต้องทำงานโดยที่ต้องสัมผัสสารเคมีนาน 7-8 ชั่วโมง กรณีนี้ลูกจ้างก็มีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลาเพิ่มเติมเช่นกัน ไม่ต้องไปคำนึงถึงเรื่องมีอุปกรณ์หรือระบบป้องกันตัวลูกจ้างหรือไม่ เพราะถือว่างานที่ลูกจ้างทำเป็นงานอันตรายตามกฎหมายแล้ว   คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9548-9570/2539 คุณสมบัติของสารเฟอร์ฟูรัลและเฟอร์ฟูริลแอลกอฮอล์ แม้ในอุณหภูมิปกติก็ระเหยเป็นไอได้ และเมื่อสัมผัสทางผิวหนังหรือเยื่อบุตาก็ทำให้ผิวหนังหรือดวงตาได้รับอันตราย หากเข้าสู่ร่างกายโดยทางหายใจหรือทางปากก็อาจเกิดอันตรายต่อร่างกายได้ สารดังกล่าวจึงเป็นวัตถุเคมีที่เป็นอันตรายในตัวของมันเอง เมื่อสารดังกล่าวเป็นสารที่ระเหยได้ในอุณหภูมิปกติ บุคคลที่ทำงานผลิตสารดังกล่าวจึงอาจได้รับอันตรายตลอดเวลา โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยทำงานด้านการผลิตสารดังกล่าว งานของโจทก์จึงเป็นงานที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือร่างกาย ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องกำหนดงานที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือร่างกายของลูกจ้าง   ทั้งนี้ไม่ต้องคำนึงว่าจำเลยจะมีระบบป้องกันอันตรายหรืออุบัติเหตุดีเพียงใดและลูกจ้างของจำเลยเคยได้รับอันตรายหรือไม่ งานดังกล่าวของจำเลยจึงตกอยู่ในบังคับประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงาน จำเลยจะต้องจัดให้ลูกจ้างทำงานไม่เกินสัปดาห์ละ 42 ชั่วโมง เมื่อปรากฎว่าจำเลยให้โจทก์ทำงานสัปดาห์ละ 48 ชั่วโมง หรือเฉลี่ยวันละ 8 ชั่วโมงโดยทำงาน 6 วัน เวลาทำงานปกติคือ 8 ถึง...

ผลของการที่นายจ้างไม่จัดเวลาพัก

ผลของการที่นายจ้างไม่จัดเวลาพัก   กฎหมายคุ้มครองแรงงานกำหนดให้นายจ้างจัดเวลาพักให้แก่ลูกจ้าง ซึ่งเป็นบทบังคับที่นายจ้างต้องปฏิบัติตาม หากไม่ปฏิบัติตามมีผล ดังนี้   1. นายจ้างต้องรับโทษทางอาญา ตามพรบ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 146 บัญญัติไว้ว่า “นายจ้างผู้ใดไม่ปฏิบัติตาม …มาตรา27… ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท”   2. นายจ้างต้องจ่ายค่าจ้างสำหรับเวลาที่ไม่ได้พัก การที่นายจ้างไม่จัดเวลาพักครบ 1 ชั่วโมงถือได้ว่านายจ้างไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 27 ลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าจ้างเวลาที่ไม่ได้พัก หรือพักไม่ครบตามที่กฎหมายกำหนด ทำให้ลูกจ้างทำงานเกินกว่าเวลาทำงานปกติ ลูกจ้างจึงมีสิทธิเรียกร้องเป็นค่าจ้างส่วนทำงานเกินเวลาทำงานปกติ   🏛️ สนใจติดต่องาน ขอทราบค่าบริการ ⚖️ 💬 คดีความ 💬 ที่ปรึกษากฎหมาย 💬 ร่างข้อบังคับและสัญญาทั้ง 💬Thai/Eng 💬 งานบรรยาย/อบรม 💼 in-house training   สอบถามค่าบริการได้ทาง info@legalclinic.co.th  ...

ลูกจ้างตายก่อนใช้สิทธิเกษียณ มีสิทธิได้รับเงินค่าชดเชยหรือไม่??

ลูกจ้างตายก่อนใช้สิทธิเกษียณ มีสิทธิได้รับเงินค่าชดเชยหรือไม่??   มีคำถามinbox เข้ามาจากลูกความสุดสวยเมืองลพบุรี ถามว่า… หากลูกจ้างอายุ 60 ปี ไม่ได้ใช้สิทธิเกษียณ แต่ต่อมาลูกจ้างตาย ทายาทจะมีสิทธิได้เงินค่าชดเชยหรือไม่??   1. กรณีมิได้มีข้อตกลงกำหนดเรื่องการเกษียณอายุไว้ ลูกจ้างตายก่อนที่จะใช้สิทธิเกษียณ ทายาทจะมีสิทธิได้รับเงินค่าชดเชยหรือไม่??   คลินิกกฎหมายแรงงานมีความเห็นว่า เมื่อลูกจ้างมิได้มีการแสดงเจตนาขอเกษียณอายุต่อนายจ้าง จึงยังไม่เกิดผลทางกฎหมายอันจะเป็นเหตุให้ลูกจ้างมีสิทธิได้รับเงินค่าชดเชย จึงไม่เป็นสิทธิในทรัพย์สินที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับตามกฎหมายก่อนถึงแก่ความตาย อันจะตกแก่ทายาท นายจ้างจึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย   2. หากข้อเท็จจริงเปลี่ยนเป็นว่า ลูกจ้างแสดงเจตนาไปแล้ว ในระหว่างที่ยังไม่ครบ 30 วัน ปรากฎว่า ลูกจ้างถึงแก่ความตายก่อน นายจ้างจะต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างหรือทายาทของลูกจ้างหรือไม่ ?   หากตีความตามกฎหมายว่า การแสดงเจตนาการเกษียณอายุยังไม่มีผล จึงยังไม่เกิดสิทธิที่จะได้รับค่าชดเชย เห็นว่า นายจ้างก็ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยดังกล่าว แต่ถ้าตีความว่าระยะเวลา 30 วัน เป็นเพียงระยะเวลาบอกกล่าวล่วงหน้าเพื่อให้นายจ้างได้มีโอกาสหาคนมาทำงานแทน ให้เวลาลูกจ้างได้เคลียร์งานให้เรียบร้อย ดังเช่น ตาม ม.17 เมื่อแสดงเจตนาแล้วย่อมมีผลและเกิดสิทธิได้รับเงินค่าชดเชย หากตายก่อน ดังนี้ ทายาทก็มีสิทธิได้รับเงินค่าชดเชย ซึ่งต้องบอกว่าเป็นเพียงความเห็นนะคะ หากมีประเด็นปัญหาดังกล่าวขึ้นสู่ศาล...

ลูกจ้างไม่ยอมลงชื่อรับทราบคำเตือนไม่เป็นความผิดฐานขัดคำสั่งนายจ้าง

ลูกจ้างไม่ยอมลงชื่อรับทราบคำเตือนไม่เป็นความผิดฐานขัดคำสั่งนายจ้าง   เนื่องกฎหมายไม่ได้กำหนดให้ลูกจ้างต้องลงชื่อในหนังสือเตือนจึงจะมีผล นายจ้างเพียงแต่แจ้งให้ลูกจ้างทราบก็มีผลแล้ว ดังนั้นหากลูกจ้างไม่ยอมลงลายมือชื่อรับทราบในหนังสือเตือน นายจ้างอาจใช้วิธีการอย่างอื่นแจ้งให้ลูกจ้างทราบได้หลายวิธี เช่น อ่านหนังสือเตือนให้ลูกจ้างฟังแล้วให้พนักงานคนอื่นเซ็นเป็นพยานไว้ หรือส่งหนังสือเตือนทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับไปยังที่อยู่ของลูกจ้าง เป็นต้น   ส่วนการไม่ลงชื่อรับทราบหนังสือเตือนนั้น ถือเป็นสิทธิของลูกจ้าง ดังนั้น การที่ลูกจ้างไม่ยอมลงชื่อรับทราบคำเตือนเป็นหนังสือ ลูกจ้างย่อมไม่มีความผิดฐานขัดคำสั่งของนายจ้าง นายจ้างจะลงโทษลูกจ้างด้วยเหตุนี้ไม่ได้   🏛️ สนใจติดต่องาน ขอทราบค่าบริการ ⚖️ 💬 คดีความ 💬 ที่ปรึกษากฎหมาย 💬 ร่างข้อบังคับและสัญญาทั้ง 💬Thai/Eng 💬 งานบรรยาย/อบรม 💼 in-house training   สอบถามค่าบริการได้ทาง info@legalclinic.co.th   ช่องทางความรู้อื่นๆสามารถติดตามได้ที่ 🌐 https://legalclinic.co.th/   🌐 https://www.youtube.com/labourlawclinic   🌐 https://www.tiktok.com/@labourlawclinic   #ลูกจ้าง #hr #คลินิกกฎหมายแรงงาน #มนุษย์เงินเดือนรู้กฎหมาย #ทนายฝ้าย #กฎหมายแรงงาน #วันหยุด...

กรณีไม่ถือเป็นหนังสือเตือนตามกฎหมาย

กรณีไม่ถือเป็นหนังสือเตือนตามกฎหมาย   เอกสารมีข้อความว่าเป็น “คำเตือน” แต่ใจความเป็นเรื่องที่ลูกจ้างรับสารภาพว่าได้ทำฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของบริษัท แล้วบรรยายว่ากระทำอย่างไร เมื่อใด ทำให้บริษัทเสียประโยชน์ เคยถูกว่ากล่าวตักเตือนมาแล้วกี่ครั้ง ตอนท้ายมีความลับว่าเป็นการกระทำผิดครั้งที่เท่าใด และรับรองว่าจะไม่ทำตัวเช่นนี้อีก เนื้อความจึงเป็นเรื่องที่ลูกจ้างเป็นฝ่ายแสดงข้อเท็จจริงและเจตนาออกมาเป็นหนังสือ ที่สำคัญไม่มีข้อความตอนใดเลยที่เป็นคำเตือนของนายจ้างไม่ให้ลูกจ้างทำผิดซ้ำอีก เอกสารดังกล่าวไม่ใช่คำเตือน   หนังสือที่ลูกจ้างให้สัญญาแก่นายจ้างโดยมีข้อความรับทราบการลงโทษและทำทัณฑ์บนไว้ เนื่องจากลูกจ้างขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุและเกิดความเสียหายแก่นายจ้าง ถือไม่ได้ว่ามีลักษณะเป็นหนังสือตักเตือนของนายจ้าง   🏛️ สนใจติดต่องาน ขอทราบค่าบริการ ⚖️ 💬 คดีความ 💬 ที่ปรึกษากฎหมาย 💬 ร่างข้อบังคับและสัญญาทั้ง 💬Thai/Eng 💬 งานบรรยาย/อบรม 💼 in-house training   สอบถามค่าบริการได้ทาง info@legalclinic.co.th   ช่องทางความรู้อื่นๆสามารถติดตามได้ที่ 🌐 https://legalclinic.co.th/   🌐 https://www.youtube.com/labourlawclinic   🌐 https://www.tiktok.com/@labourlawclinic   #ลูกจ้าง #hr #คลินิกกฎหมายแรงงาน #มนุษย์เงินเดือนรู้กฎหมาย #ทนายฝ้าย #กฎหมายแรงงาน...

การออกหนังสือเตือนและเลิกจ้างลูกจ้าง เนื่องจากทำงานไม่ได้เป้าหมาย ตามที่นายจ้างกำหนด

การออกหนังสือเตือนและเลิกจ้างลูกจ้าง เนื่องจากทำงานไม่ได้เป้าหมาย ตามที่นายจ้างกำหนด หลายบริษัทออกหนังสือเตือนและเลิกจ้างลูกจ้างที่ทำงานไม่ได้ตามเป้าหมายที่นายจ้างกำหนดจึงเป็นประเด็นน่าสน ใจว่า การออกหนังสือเตือนเรื่องทำงานได้ไม่ถึงเป้าหมายที่นายจ้างกำหนดและเลิกจ้างนั้น ลูกจ้างจะได้ค่าชดเชยหรือไม่ ขออธิบายดังนี้ค่ะ การออกหนังสือเตือนที่จะมีผลตามกฎหมาย จะต้องเป็นการออกหนังสือเตือนในเรื่องที่ลูกจ้างฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือระเบียบหรือคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงานมาตรา 119 (4) ถ้าไม่เข้าเหตุดังกล่าว นายจ้างจะออกหนังสือเตือนลูกจ้างไม่ได้ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย การออกหนังสือเตือนและเลิกจ้างลูกจ้างเนื่องจากทำงานไม่ได้เป้าหมายตามที่นายจ้างกำหนด   การที่ลูกจ้างทำงานไม่ได้ตามเป้าหมายนั้น เป็นเรื่องของประสิทธิภาพในการทำงาน ไม่ใช่เรื่องการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือระเบียบหรือคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรม นายจึงจ้างออกหนังสือเตือนตาม พรบ.คุ้มครองแรงงานมาตรา119 (4) ไม่ได้ ดังนั้น หากเลิกจ้างด้วยเรื่องทำงานได้ไม่ถึงเป้าหมาย แม้จะออกหนังสือเตือนก่อนเลิกจ้าง ก็ยังคงต้องจ่ายค่าชดเชยนะคะ ***แต่การออกหนังสือเตือน เพราะทำงานได้ต่ำกว่ามาตรฐานและลูกจ้างก็ยังคงไม่ปรับปรุง พัฒนาการทำงานให้ดีขึ้น อันมีสาเหตุมาจากการกระทำผิดวินัย จนสุดท้ายนายจ้างต้องเลิกจ้าง กรณีนี้ผู้เขียนเห็นว่ามีเหตุอันสมควร นายจ้างเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย และไม่ถือว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม   🏛️ สนใจติดต่องาน ขอทราบค่าบริการ ⚖️ 💬 คดีความ 💬 ที่ปรึกษากฎหมาย 💬 ร่างข้อบังคับและสัญญาทั้ง 💬Thai/Eng 💬 งานบรรยาย/อบรม 💼 in-house training...

การออกใบเตือน ถ้าไม่ได้ออกโดยนายจ้าง จำเป็นต้องมีหนังสือมอบอำนาจหรือไม่

การออกใบเตือน ถ้าไม่ได้ออกโดยนายจ้าง จำเป็นต้องมีหนังสือมอบอำนาจหรือไม่   หนังสือเตือนนั้นต้องออกโดยนายจ้างหรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากนายจ้างให้ออกหนังสือเตือนได้ ซึ่งส่วนใหญ่จะมอบหมายไว้ในระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน เช่น หัวหน้าฝ่ายโดยตรง หรือฝ่าย HR เป็นต้น   ยกตัวอย่างกรณีที่ไม่ถือว่าเป็นหนังสือเตือน เช่น ลูกจ้างซึ่งเป็นพนักงานฝ่ายบัญชีมาทำงานงานสาย ผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อเป็นผู้ออกหนังสือเตือนให้ โดยที่ไม่ได้มีอำนาจในการออกหนังสือเตือนแต่อย่างใด หนังสือเตือนนี้ไม่มีผลทางกฎหมายถือว่าไม่เคยมีการเตือนลูกจ้างคนนั้นเลย   เว้นแต่มีการมอบอำนาจให้ออกหนังสือเตือนจากผู้มีอำนาจออกหนังสือเตือน ก็สามารถทำหน้าที่เตือนได้ และหนังสือเตือนนั้นมีผลทางกฎหมาย   🏛️ สนใจติดต่องาน ขอทราบค่าบริการ ⚖️ 💬 คดีความ 💬 ที่ปรึกษากฎหมาย 💬 ร่างข้อบังคับและสัญญาทั้ง 💬Thai/Eng 💬 งานบรรยาย/อบรม 💼 in-house training   สอบถามค่าบริการได้ทาง info@legalclinic.co.th   ช่องทางความรู้อื่นๆสามารถติดตามได้ที่ 🌐 https://legalclinic.co.th/   🌐 https://www.youtube.com/labourlawclinic   🌐 https://www.tiktok.com/@labourlawclinic   #ลูกจ้าง #hr...